งานเขียนโดย โตมร ศุขปรีชา All Rights Reserved
30s 40s Age Books Brain Cake Children Coffee Culture Death Decode Food Friends Game History Knowledge Life Loneliness Love Old Parents Play Podcast Politics Read Relationships Review Road Science Self Sex Sexuality Travel Urban Violence Work ชีวิต ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์
เรารู้ว่า สิ่งมีชีวิตเคยผ่านการสูญพันธุ์ใหญ่มาแล้วหลายครั้ง แต่กระนั้น ‘ชีวิต’ ก็รอดพ้นอุกกาบาต ภูเขาไฟระเบิด และคลื่นความร้อนกับยุคน้ำแข็งมาได้
นักวิทยาศาสตร์พบว่า หลังวิกฤตแต่ละครั้ง ชีวิตจะฟื้นฟูกลับมา แถมยังมีรูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ
คำถามก็คือ ต้องเกิดหายนะแบบไหน ถึงจะกวาดล้างชีวิตไปจากโลกจนหมดสิ้นได้?
เพื่อจะทดสอบว่าชีวิตทนหายนะแบบไหนได้บ้าง นักวิทยาศาสตร์สนใจเจ้าสัตว์ตัวจิ๋วที่ทรหดที่สุดเท่าที่เคยรู้จักมา สิ่งมีชีวิตนั้นก็คือหมีน้ำ เจ้าหมีน้ำตัวจิ๋วขนาด 0.05-1.5 มม. นี้มีไฟลัมของตัวเองเลย นั่นคือ Tardigrada มันสามารถจำศึลได้ในแบบที่สิ่งมีชีวิตอื่นไม่อาจทำได้
เจ้าหมีน้ำสามารถอยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ สามารถทนต่อความแห้งผากและกัมมันตรังสีได้มากกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 1,000 เท่า
ถ้าเรื่องความร้อน ต่อให้ร้อนเดือดปรอทแตก มันก็อยู่รอดได้จนถึงอุณหภูมิสูง 150 องศาเซลเซียส ส่วนความหนาวนั้นทนได้ต่ำสุดถึงลบ 270 องศาเซลเซียส แถมยังนานหลายนาทีด้วย
ยิ่งกว่านั้น มันยังทนสุญญากาศในอวกาศได้ ทนแรงดันสูงลิบที่ใต้มหาสมุทรลึก 60 กม. ได้อีกต่างหาก แถมยังสามารถจำศีลได้นานกว่า 100 ปี รอจนสภาพแวดล้อมดีขึ้นแล้วถึงจะกลับคืนชีพได้ด้วย
เจ้าหมีน้ำนี้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์สรุปความสามารถสำคัญๆ ห้าอย่าง ที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตหนึ่งๆ รอดจาก ‘หายนะ’ ระดับที่ทำให้เกิดการสูญพันธุ์ใหญ่ขึ้นมา
ความสามารถทั้งห้าอย่างได้แก่
- มีตัวเล็ก เพราะสัตว์เล็กๆ มักจะมีจำนวนมากกว่า มีลูกมากกว่า แพร่พันธุ์บ่อยครั้งกว่า ทำให้สปีชีส์นั้นๆ สามารถปรับตัวรับเงื่อนไขใหม่ๆ ได้ดีและเร็วขึ้น แถมสัตว์ขนาดเล็กยังต้องการอาหารน้อยกว่า จึงอยู่รอดได้ง่ายกว่าด้วย
- ถ้าเป็นสัตว์ที่ไม่ ‘เรื่องมาก’ ก็มีโอกาสรอดมากกว่า เช่น อยู่รอดได้ในเงื่อนไขหลายๆ อย่าง แล้งก็อยู่ได้ หนาวก็อยู่ได้ ร้อนก็อยู่ได้ หรือกินอาหารได้หลายๆ อย่าง
- โอกาสรอดจะมากขึ้น ถ้าสปีชีส์นั้นๆ พบได้ทั่วไปในโลก เพราะปกติแล้ว หายนะใหญ่ๆ ในระดับทำให้เกิดการสูญพันธุ์ใหญ่ มักจะเกิดกับแค่บางส่วนของโลก ซึ่งถ้าบังเอิญมาเจอะกับบริเวณที่สิ่งมีชีวิตหนึ่งๆ อยู่พอดี และไม่มีถิ่นที่อยู่อื่นอีกเลย มันก็อาจจะสูญพันธุ์ไปได้
- การที่สัตว์นั้นๆ สามารถอพยพโยกย้ายเดินทางไปโน่นมานี่ได้อย่างอิสระ เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ เช่น อยู่ในน้ำ แหวกว่ายไปได้ทั่วทุกคุ้งมหาสมุทร หรือเป็นสัตว์ปีกที่บินคล่องแคล่วว่องไว ฯลฯ
- เรื่องสำคัญมากๆ อีกอย่างหนึ่งก็คือ ต้องเป็นสัตว์ที่รับมือกับวิกฤติได้ด้วยการจำศีลได้นานๆ อย่างเช่นตัวเฮดจ์ฮ็อก หรือที่เป็นแชมป์เรื่องนี้แน่ๆ ก็คือเจ้าหมีน้ำนี่เอง
คำถามก็คือ แล้วถ้าเป็นมนุษย์ล่ะ เรามีลักษณะทั้งห้าอยู่ไหม?
คำตอบก็คือไม่ค่อยจะมีสักเท่าไหร่ เราอาจจะอยู่ทั่วโลก ไม่ค่อยเลือกกินนัก แต่มนุษย์ไม่ได้ตัวเล็ก แพร่พันธุ์ไม่ได้รวดเร็วขนาดนั้น แล้วก็ต้องการน้ำกับอาหารปริมาณค่อนข้างเยอะ แถมยังจำศีลไม่ได้อีก
ดังนั้น โอกาสเดียวที่มนุษย์จะอยู่รอดได้ ก็คือต้องเพิ่มเทคโนโลยีต่างๆ เช่น ตรวจจับอุกกาบาตให้ได้ แล้วถ้าอุกกาบาตหรือดาวเคราะห์น้อยจะพุ่งชนโลกจริงๆ เราก็ต้องหาเทคโนโลยีมาป้องกันให้ได้ด้วย
เรื่องพวกนี้เลยนำไปสู่ Geo-Engineering หรือวิศวกรรมดัดแปลงโลก เช่นมีคนคิดเรื่องการสร้างบรรยากาศขึ้นมาใหม่ สร้างสนามแม่เหล็กเทียม หรือไปลากเอาดาวเคราะห์น้อยที่มีน้ำมาจากที่อื่นๆ ในระบบสุริยะ อะไรทำนองนี้ แต่ปัญหาก็คือ ถ้าก้าวพลาดแม้แต่ก้าวเดียว ก็อาจหมายถึงหายนะจากน้ำมือมนุษย์เองได้
คำถามถัดมาก็คือ แล้วมันจะมี ‘หายนะ’ อะไรสามารถเกิดขึ้นกับโลกได้บ้าง?
นักวิทยาศาสตร์เคยคำนวณผลลัพธ์จากหายนะสามอย่างที่อาจเกิดกับโลก ได้แก่อุกกาบาต (หรือดาวเคราะห์น้อย) ชนโลก, ซูเปอร์โนวา และรังสีจากอวกาศ โดยเฉพาะรังสีแกมม่า พบว่าถ้าเกิดสิ่งร้ายแรงเหล่านี้ขึ้นมา โอกาสที่มนุษย์จะอยู่รอดมีน้อยยิ่งกว่าน้อย รวมไปถึงสัตว์อื่นๆ อีกจำนวนมากด้วย
แต่ผลการคำนวณแสดงให้เห็นว่า รังสีจากซูเปอร์โนวาและการระเบิดของรังสีแกมม่านั้นไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้กับหมีน้ำเลย แค่มันอยู่ในน้ำลึกไม่กี่เมตรก็ปกป้องเพียงพอแล้ว ภัยใหญ่ที่สุดคืออุกกาบาตตกต่างหาก เพราะจะทำให้มหาสมุทรเกิดความร้อนจากพลังงานจลน์ในการพุ่งเข้าชน แต่ถ้าจะให้ถึงขั้นทำเอาหมีน้ำสูญพันธุ์ ก็ต้องใช้พลังงานมหาศาล นั่นคือมหาสมุทรทั้งโลกต้องเดือดพล่าน ซึ่งมีน้อยยิ่งกว่าน้อย
มีการคำนวณพบว่า ความเสี่ยงที่อุกกาบาตระดับที่จะทำให้มหาสมุทรเดือดขณะตกสู่โลก มีแค่ 0.01% เท่านั้น ส่วนความเป็นไปได้ที่หมีน้ำจะถูกกวาดล้างเพราะซูเปอร์โนวายิ่งน้อยลงไปอีก เพราะซูเปอร์โนวาที่แผ่คลื่นพลังงานออกมาได้ถึงขนาดนั้น จะต้องอยู่ห่างออกไปไม่เกิน 0.13 ปีแสง แต่ดาวใหญ่ที่อาจเกิดซูเปอร์โนวาได้ และอยู่ใกล้ที่สุด อยู่ห่างถึง 150 ปีแสง
โดยซูเปอร์โนวาชนิดพิเศษที่แผ่รังสีแกมม่าเข้มข้นยิ่งเป็นไปได้น้อยลงไปอีก เพราะดาวที่ใกล้ที่สุดที่นักดาราศาสตร์คาดว่าจะระเบิดส่งรังสีแกมม่าออกมาได้ อยู่ห่างจากโลกมากกว่า 8,000 ปีแสง
เพราะฉะนั้น ต่อให้เกิดหายนะขนาดไหน โลกก็ไม่น่าจะสิ้นไร้สิ่งมีชีวิตหรอกนะครับ
เพียงแต่สิ่งมีชีวิตที่ว่า – อาจไม่ใช่มนุษย์ (แต่เป็นหมีน้ำ), ก็เท่านั้นเอง!




