วันอาทิตย์มีสีน้ำตาล
ผมชอบคิดว่า วันอาทิตย์เป็นวันที่มีสีน้ำตาล
เช้าวันอาทิตย์มักเป็นเช้าที่รื่นรมย์
เช้าวันอาทิตย์พาเราไปที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าจะไกลโพ้นเพียงใด
articles that instigate
ผมชอบคิดว่า วันอาทิตย์เป็นวันที่มีสีน้ำตาล
เช้าวันอาทิตย์มักเป็นเช้าที่รื่นรมย์
เช้าวันอาทิตย์พาเราไปที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าจะไกลโพ้นเพียงใด
การใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ กับการหมกมุ่นอยู่กับความสำเร็จไม่ใช่เรื่องเดียวกัน
เวลาเราจะยิงธนู สิ่งแรกที่เราต้องทำก็คือ aim ปลายลูกศรไปที่ target ซึ่งฟังดูเผินๆ เหมือนสองสิ่งนี้เป็นเรื่องเดียวกัน ‘ตั้งเป้า’ กับ ‘ไปให้ถึงเป้า’
แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงหรือ
เราชอบคิดว่า ตอนเด็กๆเรางุนงงกับชีวิต ต่อเมื่อเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เราจึงจะเห็นว่าชีวิตนั้นชัดเจน ความเป็นผู้ใหญ่จึงเหนือกว่าความเป็นเด็ก เพราะมีประสบการณ์มาคอยค้ำจุนเป็นรากฐานให้การตัดสินใจต่างๆของเรา
ดังนั้น ผู้ใหญ่จึงมีอะไรบางอย่าง ‘เหนือ’ กว่าเด็ก
แต่ไม่รู้สิ-บางครั้งผมก็คิดกลับกัน
การหยุดคือจังหวะ การหยุดคือความเงียบที่แทรกเข้ามาคั่นระหว่างเสียงต่างๆ การหยุดคือการหยั่งลึกเข้าไปในกาลอวกาศ สู่ความลึกไร้ก้นบึ้ง ในที่ซึ่งเงียบงันและไม่รู้
การหยุดดูเผินๆคล้ายไม่มีความหมายอะไร คล้ายกับไม่มีใครต้องทำอะไร
แต่ที่แท้แล้ว คือการหยุดนั่นแหละที่ได้สร้างความหมายใหม่ให้กับสรรพเสียงที่อึงคะนึงกันอยู่ตรงหน้า
หากการหยุดของนักดนตรีคือการรู้จักตีความเพลง
การหยุดของนักใช้ชีวิตก็คือการรู้จักตีความชีวิต
นี่อาจเป็นเรื่องราวของความรักที่แสนเศร้า หรืออาจเป็นเรื่องลึกลับของความตายและการกลับมาพยายามพรากชีวิตใครอีกคนหนึ่งก็เป็นได้
ชีวิตของผู้คนนั้นแปลกประหลาดและเศร้าสร้อย ไม่มีใครไม่บาดเจ็บเจียนตายเพราะความรัก
การโตเป็นผู้ใหญ่ในโลกจริงๆ บางครั้งแปลว่าเราต้อง ‘สลัด’ ความเป็นเด็กไปด้วย เช่น วางมาดขรึม ใส่สูท (แม้แต่ในผู้หญิง) ทำท่าเก่งกาจเหนือกว่าอยู่เสมอเพื่อต่อสู้ต่อรองในโลกอันโหดร้าย
อย่างไรก็ตาม ลักษณะหนึ่งของความเป็นเด็ก ก็คือสิ่งที่เรียกว่า Playfulness (ไม่แน่ใจว่าจะแปลเป็นไทยว่าอย่างไรดี จะแปลว่า ‘ขี้เล่น’ ก็ไม่ตรงนัก หรือ ‘ชอบสนุก’ ก็ไม่ใช่อีก)
คำถามก็คือ เพื่อจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เราต้องทิ้ง Playfulness ไปด้วยจริงๆ หรือ
เพื่อนคนหนึ่งบอกเลิกกับแฟนที่คบกันมาหลายปี จู่ๆ ใครคนหนึ่งก็พูดออกมา “เราเลิกกันเถอะ”
“คุณรู้ไหม ว่าทำไมเราต้องเลิกกัน”
เธอถามเขา
เมื่อตื่นเช้าขึ้นมา เราพบตัวเองอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่ ‘ปรับอากาศ’ ให้เย็นสบายตามสมควร จากนั้นก็อาบน้ำที่ ‘อุ่นสบาย’ เท่ากันทุกวันด้วยเครื่องทำน้ำอุ่น กินอาหารที่ปรุงจากเตาไฟฟ้าหรือเตาแก๊ส ไม่เคยรู้ว่าฟืนที่ชุ่มฝนนั้นเป็นอย่างไร เสร็จแล้วก็ขับรถที่ปรับอุณหภูมิให้สบายตัวตามต้องการ เดินทางไปทำงานในออฟฟิศตึกสี่เหลี่ยมที่มีการปรับอุณหภูมิเอาไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน
ส่วนในวันหยุด เราจะยัดตัวเองเข้าไปอยู่ในศูนย์การค้าใหญ่ซึ่งปรับอุณหภูมิให้พ้นจากร้อน-ฝน-หนาวใดๆ
เราจึงเหมือนอยู่ในเมืองที่ ‘ไร้ฤดูกาล’ อย่างสิ้นเชิง
มีรุ่นน้องถามว่า จะจัดการกับความรักที่ไม่สมหวังอย่างไรดี เป็นเรื่องที่ฟังดูง่าย คือรักเขา แต่เขาไม่รักตอบ ทำให้เจ็บ
ความรักที่ไม่ได้รับรักตอบก็เหมือนเอนไซม์ทำงานผิดที่ มันไปเจอกับตัวรับที่ไม่เหมาะสมกับรูปร่างของมัน เลยจับกันไม่ได้ ปฏิกิริยาต่างๆก็ไม่เกิด คำถามก็คือ เอนไซม์ตัวนั้นจะยังวนเวียนอยู่แถวนั้นเพื่อพยายามจับกับตัวรับให้ได้-ได้ไหม?
พบว่าคนวัยสามสิบปลายๆ ใกล้สี่สิบ มักจะมีสภาวะ ‘ไม่สุข-ไม่ทุกข์’ แล้วก็อาจจะคิดว่าใกล้บรรลุแล้ว เพราะไปพ้นจากทุกข์และสุข แต่เอาเข้าจริง สภาวะแบบนั้นของหลายคน กลับคือการ ‘ไม่สุข-ไม่ทุกข์’ แบบซังกะตาย หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต
การประคับประคองตัวตนให้ผ่านวัยสี่สิบต้นๆ ไปได้เป็นเรื่องหนัก เหมือนต้องเกิดใหม่อีกครั้งอย่างที่ฝรั่งบอกกันว่า ชีวิตเริ่มต้นที่สี่สิบจริงๆ นั่นแหละ
เราล้วนต้องพบเผชิญกับช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต ทุกการเปลี่ยนผ่านจะมีสองสิ่งเกิดขึ้น
สิ่งนั้นก็คือ-การสูญเสีย (Loss) และสภาวะใหม่ (Newness) ของตัวเรา
ถ้าเราผ่านช่วงเปลี่ยนผ่านไปได้ ก็เหมือนเราได้ผลัดตัวตนใหม่ สู่สภาวะใหม่ของชีิต
ดูเผินๆ คล้ายไม่มีใครต้องการอยู่ลำพัง เพราะกลัวความเหงา
อำนาจของความเหงานั้นรุนแรงร้ายกาจ มันผลาญเผาคนตัวเล็กๆที่หลงใหลความเหงาให้มอดมลายลงไปได้