สามสิบต้น สามสิบปลาย สี่สิบต้น สี่สิบปลาย : Lesson Learnt

วันนี้ได้คุยกับรุ่นน้องวัยสามสิบปลายๆ คนหนึ่ง

เท่าที่ได้เจอมา พบว่าคนวัยสามสิบปลายๆ ใกล้สี่สิบ มักจะมีสภาวะ ‘ไม่สุข-ไม่ทุกข์’ แล้วก็อาจจะคิดว่าใกล้บรรลุแล้ว เพราะไปพ้นจากทุกข์และสุข แต่เอาเข้าจริง สภาวะแบบนั้นของหลายคน กลับคือการ ‘ไม่สุข-ไม่ทุกข์’ แบบซังกะตาย หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต ไม่มีความฝัน ไม่มีไฟ บางคนก็ถึงขั้นไม่อยากมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ

ตอนที่ตัวเองอายุเท่านั้น ก็อยู่ในสภาวะแบบนั้น และอหังการ์คิดว่าการ ‘ไม่สุข-ไม่ทุกข์’ คือภาวะ ‘ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง’ แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่

เป็นไปได้ ที่นั่นจะเป็นแค่ coming of age ธรรมดาๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อฮอร์โมนในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง (ไปในทางที่น้อยลง) เท่านั้นเอง

ตอนสามสิบต้นๆ coming of age ที่เกิดกับตัวเองคือการบรรลุถึงยอดเขา (ที่ไ่ม่ว่าจะตั้งเป้าไว้หรือไม่ก็ตาม) แล้วต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า ยังมียอดไหนให้ป่ายปีนอีกหรือเปล่า มันเหมือนคนก้มหน้าก้มตาปีนเขา แล้วโดยไม่รู้ตัวก็มาถึงยอด ไม่มีหน้าผาขั้นต่อไปให้มือยึดเกาะอีกแล้ว เบื้องหน้ามีแต่ท้องฟ้าเวิ้งว้างว่างเปล่า

ตอนนั้น สิ่งที่ทำได้มีสองอย่าง หนึ่งคือปล่อยมือให้ตัวเองร่วงลงไปเพื่อจะปีนขึ้นมาใหม่ กับสอง, คือยังคงทำท่าปีนต่อไป แต่เป็นการปีนอยู่กับที่ ย่ำซ้ำๆ อยู่กับร่องรอยเดิม จนกล้ามเนื้อคุ้นชินกับท่าร่าง

ตัวเองเลือกหนทางที่สอง ซึ่งในที่สุดก็ทำให้ลืมไปได้ว่ามาถึงที่สุดของยอดเขาแล้ว และไม่มีอะไรที่มีความหมายต่อไปอีก มันกลายเป็นการ ‘อึด’ อดทนทำสิ่งเดิมๆ เติมความหมายให้กับสิ่งไร้ความหมายนั้นไป…วันแล้ววันเล่า

จนกระทั่งมาถึงปลายสามสิบ ย่างสี่สิบ จากที่เคย ‘รู้สึก’ สนุกหรือทุกข์กับชีวิตและงาน ทุกอย่างกลับตายด้านชินชา ไม่สุขอีกแล้ว ไม่ทุกข์อีกแล้ว

แต่นั่นแหละคือทุกข์ เป็นความทุกข์ผืนใหญ่กว่า มันเหมือนความทุกข์สีเทาหม่นแผ่นกว้างที่คลี่โอบครอบคลุมเข้ามาทุกทิศทุกทางจนมองอะไรไม่เห็น ปิดหูปิดตาตัวเอง โอบห่อตัวเองอยู่ในเมล็ดอย่างทุกข์ใจ แต่บอกตัวเองว่าไม่สุขและไม่ทุกข์ ไปพ้นแล้วจากทุกสิ่ง พลางสงสัยว่า ไม่ทุกข์ ไม่สุข แต่ไฉนจึงไม่เบิกบาน
IMG_0595
สภาวะนั้นผ่านพ้นไปได้ด้วยการผลัดเปลี่ยนตัวเองอย่างสาหัส โชคดีที่ทุกอย่างโอบประคองอยู่ การผลัดตัวตนจึงค่อยเป็นค่อยไป ไม่หนักหนาฉับพลันเหมือนเพื่อนบางคนที่ไม่อาจทานทนกับสภาวะนี้ได้ บางคนเลือกแก่เฒ่าไปเลย ไปอยู่ในที่ไกลแสนไกลกับวิถีดั้งเดิม ปลดตัวเองออกไปจากสังคม และบางคนก็ถึงขั้นปลิดตัวเองออกไปจากชีวิตด้วยซ้ำ

การประคับประคองตัวตนให้ผ่านวัยสี่สิบต้นๆ ไปได้เป็นเรื่องหนัก เหมือนต้องเกิดใหม่อีกครั้งอย่างที่ฝรั่งบอกกันว่า ชีวิตเริ่มต้นที่สี่สิบจริงๆ นั่นแหละ

โชคดีที่ตัวเองผ่านมาได้ และเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่กับร่างกาย (จากการวิ่งและการลดน้ำหนัก) ที่ไป induce ภายในในหลายมิติ

ทุกวันนี้แอบคิดว่า สภาวะ ‘ไม่สุข-ไม่ทุกข์’ ที่แท้จริง ไม่ใช่การนั่งอมทุกข์ซังกะตายอยู่กับความหน่ายหนืดของการตระหนักรู้ว่าชีวิตไม่มีความหมาย แต่คือการ Live the Fullest of Life มีความสุขเต็มที่ ทุกข์เต็มเหนี่ยว แต่ก้อนแห่งสุขและทุกข์เหล่านั้นไม่พุ่งเข้ามา ‘กระทบ’ ข้างในจนเกิดผลอะไร ร้องไห้ได้ หัวเราะจนพุงกระเพื่อมกรามค้างได้ แก้ผ้าเล่นน้ำฝนได้ ตกหลุมรักครั้งใหม่ได้ อกหักได้ ผจญภัยใหม่ๆ กับงานใหม่ๆ ได้ เต็มที่กับทุกอย่างได้ แต่สิ่งเหล่านั้นไม่เข้ามากระทบกับภายในที่ ‘ไม่สุข-ไม่ทุกข์’ จนทำให้ภายในปั่นป่วนหนักหน่วงเหมือนที่เคยเป็นตอนสามสิบต้นๆ

แล้วทั้งข้างนอกข้างในก็จะอยู่ในสภาวะเบิกบาน รื่นรมย์ รับรู้ถึงทุกข์และสุขอย่างเต็มที่ ลิ้มรสชีวิตอย่างที่มันเป็น แม้ว่าจะนั่งอยู่เฉยๆ กับที่ อ่านหนังสือเล่มที่อ่านมาแล้วพันครั้ง ฟังเพลงที่ฟังมาแล้วพันครั้ง – ก็ยังเบิกบานอยู่ในความสงบ กระทั่งด่าคน – ก็ยังด่าด้วยความรู้สึกสงบ

ซึ่ง – ทั้งหมดนี้อาจจะผิด, ผิด – เหมือนกับที่เคยมองชีวิตผิดพลาดในวัยสามสิบต้นๆ สามสิบปลายๆ และสี่สิบต้นๆ

ถ้าไม่ได้ไปถึงเลขห้า เลขหก เลขเจ็ด – บางทีเราอาจไม่รู้จริงๆ ว่าคนที่อยู่ในสภาวะร่างกายและจิตใจแบบนั้น, เป็นอย่างไร