ตากับยาย และหนังสือของคชสาร

ผมเรียกตากับยายว่าตากับยาย ไม่ได้เรียกว่าคุณตากับคุณยาย เหมือนที่เรียกพ่อกับแม่ว่าพ่อกับแม่ ไม่ใช่คุณพ่อกับคุณแม่

ภาพของตาที่ผมนึกถึงอยู่เสมอ คือภาพของชายชราแข็งแรงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้นเสมอ ทุกวันอาทิตย์ เรามักจะไปที่บ้านของตากับยาย แต่ไม่รู้ว่าทำไม เราจึงเรียกบ้านหลังนั้นว่า-บ้านยาย, เสมอๆ ทั้งที่ภาพแรกที่เราเห็นทุกครั้งที่ประตูรั้วเปิดออก จะเป็นภาพของตา

ตานั่งอยู่บนเก้าอี้ เก้าอี้ตัวนั้นตั้งอยู่ติดกับประตูหน้าบ้าน ที่จริงไม่ใช่แค่ติด แต่มันขวางกั้นประตูด้านหน้าด้วยซ้ำไป แม้มีบันไดหินที่ทอดจากพื้นด้านล่างขึ้นไปยังประตูหน้า และห้องที่อยู่หลังประตูหน้าคือห้องที่เราเรียกว่าห้องรับแขก แต่ก็แทบไม่เคยมีใครใช้ประตูนั้นได้เลย ค่าที่ตามักนั่งขวางประตูอยู่อย่างนั้น

ตาแทบไม่ลุกจากเก้าอี้ตัวนั้น ตาอ่านหนังสือพิมพ์ ดูโทรทัศน์ และถ้ามีใครมาบีบแตรรถที่หน้าประตู ตาก็จะหันมาดูว่าใครมา ถ้าตาจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวนั้นบ้าง ก็เมื่อลุกไปกินข้าวในห้องอาหารที่อยู่ด้านล่าง

ผมชอบคิดว่า ตาไม่กินข้าวฝีมือใครอื่นนอกจากยาย แต่ก็ไม่รู้หรอกว่าเอาเข้าจริงแล้วตากินอะไรอื่นบ้างหรือเปล่า เพราะผมไม่เคยกินข้าวร่วมโต๊ะกับตาเลย เท่าที่จำได้ ตากินข้าวคนเดียวตลอด

ผมรู้สึกเหมือนตาเป็นบางสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ แตะต้องไม่ได้ และอยู่สูงเกินกว่าที่หลานอย่างผมจะเข้าไปสุงสิง

แต่ยายไม่ใช่อย่างนั้น

ผมไม่รู้หรอกว่ายายชอบทำอาหารหรือเปล่า แต่บนโต๊ะกินข้าวตัวใหญ่อีกตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ในครัว ติดกับเตาไฟที่ยายใช้ทำอาหารนั้น จะมีอาหารเรียงรายอยู่ใต้ฝาชีเสมอ ไม่ว่าจะดึกดื่นเพียงใดหรือเช้าตรู่เพียงไหน ใครหิวก็เพียงแต่เปิดฝาชี คดข้าวในหม้อ แล้วกินกับกับข้าวที่วางอยู่นั้น แน่นอน หลายอย่างเย็นแล้ว สมัยนั้นไม่มีเตาไมโครเวฟให้อุ่น แต่ยายก็รู้จักเลือกทำอาหารที่แม้จะเย็นแล้วก็ยังไม่ชืด แต่ยังคงรสอร่อยอยู่ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ที่จริงไม่ใช่แค่อาหารเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผลไม้ต่างๆนานา เช่นกล้วยทั้งเครือที่แขวนอยู่บนขื่อด้านบน หรือขนมปังแถวใหญ่ที่ยายซื้อมาจากร้านเบเกอรี่เจ้าประจำแถวๆบ้าน ให้หลานๆได้เลือกอร่อยกับบางเมนูง่ายๆเช่นขนมปังจิ้มนมข้นหวานในยามที่อาหารสารพันใต้ฝาชีเกิดไม่ถูกใจขึ้นมา

วันที่ตาตาย เรารู้อยู่แล้วว่าเขาจะตายเวลาไหน เพราะหมอจะเป็นคนถอดเครื่องช่วยหายใจ ญาติทางฝ่ายตาไปอยู่ที่นั่นกันหมด แต่ผมไม่ได้ไป พอตาสิ้นใจ แม่โทรมาบอก ผมก็ฟังเงียบๆ ตอนนั้นผมอยู่บ้านคนเดียว แม่ถามว่าต้องการคนไปอยู่ด้วยมั้ย ผมบอกว่าไม่มีอะไรต้องห่วง ผมดูหนังอยู่ แม่ก็วางสายโทรศัพท์ไปเพราะมีอะไรต้องจัดการมากมาย พอรุ่งเข้าอีกวันพ่อโทรมาถามว่าผมต้องการจะดูตาเป็นครั้งสุดท้ายมั้ย ผมบอกว่าผมอยากจำตาในสภาพเดิม พ่อบอกว่าตาอยู่ในสภาพเดิม หมอเขาจัดการไว้สวยงาม เหมือนคนนอนหลับ พ่อจะมารับผมไปถ้าผมต้องการ ผมบอกว่าไม่ไปหรอก ผมมีงานทั้งวัน หลังรับโทรศัพท์ผมเอาว่าวออกไปเล่นที่ริมน้ำ เพราะไม่อยากได้ยินใครโทรมาคุยหรือแสดงความเสียใจ *

ผมจำไม่ได้ว่าวันที่ตาตายนั้น ผมทำอะไรอยู่ แต่จำได้แม่นยำถึงงานศพของตา เมื่อป้าคนหนึ่งถามว่า จะเล่นออร์แกนในโบสถ์ให้ตาฟังเป็นครั้งสุดท้ายในพิธีศพได้ไหม ผมบอกว่าได้ ผมอยากเล่น แต่ในที่สุดก็จำไม่ได้แล้วว่าเพราะอะไรจึงไม่ได้เล่น

งานศพของตาเต็มไปด้วยดอกไม้ ผู้คนคลาคล่ำมากมาย บางทีอาจเพราะลูกๆของตากำลังอยู่ในวัยเจริญรุ่งเรืองของชีวิต คนจำนวนมากจึงมาแสดงความเสียใจ แต่ก็ไม่ใช่เท่านั้นหรอก เพราะแม่เล่าให้ฟังว่า ในท่ามกลางคนสำคัญและดอกไม้แสนสวยจากพวงหรีดงานศพหลายร้อยหรืออาจจะถึงพันชิ้นนั้น แม่พบคนสองสามคนยืนเก้ๆกังๆทำตัวไม่ถูกอยู่ พวกเขาไม่ใช่คนสำคัญอะไรในสายตาใครอื่น แต่แม่เชื่อว่า พวกเขาคือคนสำคัญสำหรับตา

เพราะพวกเขาคือลูกศิษย์ของตา

ตาเคยเป็นครูอยู่พักหนึ่ง แม่บอกว่าตาคงเป็นครูที่อยู่ในความทรงจำของลูกศิษย์ เพราะพวกเขาอ่านพบประกาศงานศพของตาในหนังสือพิมพ์ และจดจำชื่อของตาได้ แม้เวลาจะผ่านมาแล้วหกสิบเจ็ดสิบปี และพวกเขาก็รวมตัวกันสองสามคนเพื่อมางานศพของตา ลูกศิษย์หลายคนตายก่อนตาเสียด้วยซ้ำ พวกเขาบอกแม่ว่า ตาเป็นคนอายุยืนมากแล้ว แต่กระนั้น พวกเขาก็ยังเสียใจที่สูญเสียครูคนนี้ไป

ผมไม่ค่อยเศร้ากับงานศพของตาเท่าไหร่ จะว่าไป ผมสนุกกับงานศพมากกว่า เพราะเป็นห้วงเวลาหนึ่งในชีวิตที่ญาติพี่น้องมารวมตัวกัน พวกเราอยู่ด้วยกัน รักใคร่กัน พูดจาหยอกล้อกัน และไม่มีร่องรอยของบาดหมางใดๆปรากฎให้เห็น

ไม่เหมือนงานศพของยาย

ตากับยายแต่งงานกันในปี 1945 ก่อนสงครามในภาคพื้นยุโรปจะสิ้นสุดแค่เดือนเดียว ที่น่าแปลกคือในยุคนั้นแค่ของกินก็ยังแทบไม่มี แต่พวกเขาสามารถถ่ายรูปวันแต่งงานและล้างอัดเก็บไว้ได้ ทุกคนในภาพนั้นผอมแทบจะปลิว แต่ก็พยายามแต่งตัวดีที่สุด สิ่งที่ทำให้เราเดาออกว่าพวกเขากำลังมีความทุกข์แสนสาหัสคือไม่มีรอยยิ้มจากใครเลยในภาพ แม้กระทั่งเจ้าสาว *

ผมไม่ได้ไปงานศพของยาย ตอนนั้นผมติดสอบเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งแลดูเป็นเรื่องสำคัญยิ่งใหญ่เสียเหลือเกินของเด็กที่เพิ่งจบมัธยมปลายใหม่ๆ ไม่มีใครตำหนิเลย เพราะผมอ่านหนังสือนสอบมาตลอดสามปีเพื่อวันนั้น และยายก็มาตายลงในช่วงเวลาเดียวกัน

ตอนที่ตาตาย ผมไม่รู้สึกสูญเสียอะไรมากนัก บางทีอาจเพราะไม่ได้ใกล้ชิดกับตาเท่าไหร่ แต่ผมรู้สึกได้ว่ายายแก่ลงไปอย่างรวดเร็ว ที่จริงผมเห็นว่ายายเป็นคนแก่อยู่แล้ว แก่มาตั้งแต่ผมยังเด็กๆ แต่จู่ๆความแก่ชรานั้นก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วชนิดที่ไม่เคยคิดเลยว่า คนที่แก่อยู่แล้วจะแก่ลงไปอีกมากจนเห็นได้ชัดเจนถึงขนาดนั้น

ยายตายหลังจากตาตายได้สองปี หลังจากยายตาย ผมรู้สึกคล้ายไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีก บ้านยายไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ไม่ใช่เพียงเพราะมันไม่มีตากับยายเท่านั้น แต่เหมือนบ้านหลังนั้นก็ได้ตายไปด้วย ร่องรอยบาดหมางของผู้คนที่เคยรักใคร่กันปรากฎให้เห็นชัดขึ้น ที่จริงมันคงมีอยู่แล้ว แต่ก่อนหน้านี้ การดำรงอยู่ของตากับยายคงคลี่ห่มและโอบกอดความบาดหมางเหล่านั้นเอาไว้ เมื่อไม่มีตากับยาย คนอื่นๆก็เลิกเกรงใจกัน

บทตอนแห่งชีวิตในบ้านยายจึงจบลง ผมไม่อยากไปที่นั่นอีก เพราะไม่มีใครสนใจต้นมะม่วงที่ยายเคยโยนเมล็ดทิ้งไว้จนงอกเป็นต้นที่มีผลแสนอร่อย ไม่มีใครสนใจชิงช้าตัวนั้นที่ตามักจะขัดสนิมและทาสี พลางปลูกดอกกล้วยไม้รองเท้านารีเอาไว้ใกล้ๆให้เรานั่งมองยามโล้ชิงช้าอีก

ผมได้แต่บอกตัวเองว่า ชีวิตก็เป็นเช่นนี้เอง มันเหมือนน้ำค้างในแดดหนาวที่เมื่อถึงยามสายก็ระเหยหายไปได้ง่ายๆ ไม่ว่าเราจะผูกพันกับอะไรมากมายเพียงไหน ก็ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนไปได้

แต่กระนั้น ตากับยายก็เป็นส่วนหนึ่งของผม เป็นส่วนเสี้ยวที่จะไม่มีวันหายไปไหน

จนกว่าผมจะตาย

 

* ข้อความจากหนังสือ Journey of a Little Elephant : การเดินทางของคชสาร โดย คชสาร ตั้งยามอรุณ

 

 

เรื่องของคชสาร

หนังสือชื่อ Journey of a Little Elephant : การเดินทางของคชสาร โดย คชสาร ตั้งยามอรุณ เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ บรรจุอยู่ด้วยความเรียงน่าอ่านหลายเรื่อง แนมไปกับการ์ตูนสามสี่ช่องจบฝีมือผู้เขียน เรื่องราวอันอ่อนโยน ช่างคิด ละเอียดละออกับการมองโลกและชีวิต ได้ผสานรวมเข้ากับการ์ตูนเสียดสีที่เจ็บปวด ขบขัน และบางคราวก็ขมขื่นได้อย่างน่าทึ่ง ที่สำคัญ รายได้ในส่วนของผู้เขียนทั้งหมดจากหนังสือเล่มนี้จะมอให้กับมูลนิธิช้างแห่งประเทศด้วย แม้คชสารบอกว่าจะไม่เขียนหนังสืออีกแล้ว แต่ครั้งใดที่นึกถึงความอบอุ่นในวัยเด็ก ผมจะนึกถึงหนังสือของเขาเสมอ