ครั้งหนึ่ง นักเศรษฐศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่อย่าง จอห์น เมย์นาร์ด เคย์นส์ (John Maynard Keynes) เคยทำนายเอาไว้ว่า เมื่อถึงศตวรรษที่ 21 มนุษย์เราจะทำงานกันแค่สัปดาห์ละ 15 ชั่วโมงเท่านั้น
พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าทำงานสัปดาห์ละ 5 วัน ก็จะทำกันแค่วันละ 3 ชั่วโมง
พูดให้น่าฟังขึ้นไปอีกก็คือ ถ้าเริ่มงานเก้าโมงเช้า เราก็จะเสร็จงานกันตอนเที่ยง หลังจากนั้นจะไปทำอะไรก็ได้ตามสบาย!
แต่ทอดตาดูปัจจุบันนี้ เราจะเห็นข่าวการ ‘เพิ่มเวลา’ ทำงานกันเต็มไปหมด ล่าสุดก็เกิดการเรียกร้องว่า คนเราควรจะทำงานกันหนักให้ถึงสัปดาห์ละ 70 ชั่วโมงก็มี เท่ากับทำงานกันวันละ 14 ชั่วโมง หรือถ้าเข้าทำงานเก้าโมงเช้า ก็จะเลิกงานห้าทุ่ม
จะบ้าเหรอ!
อาการ ‘บ้างาน’ อย่างจะเป็นจะตาย (จนในบางประเทศ มีอาการ ‘ทำงานจนตายคาโต๊ะ’) แบบนี้ มีศัพท์เรียกว่า Workism หรือคือ ‘ลัทธิคลั่งงาน’ ซึ่งหลายคนบอกว่า – เฮ้ย! จะเป็นไปได้ยังไงที่คนเราจะคลั่งงานกันขนาดนั้น
แต่คุณรู้ไหมครับ ว่าในขณะที่คนรุ่นใหม่กลุ่มหนึ่งมีอาการเบื่อหน่าย รันทดหดหู่กับชีวิต มองไม่เห็นหนทางว่าจะเติบโตทำงานไปได้อย่างไรให้อยู่รอดในสังคมที่แข่งขันสูงและค่าครองชีพก็สูงลิบลิ่ว แถมหลายคนยังเริ่มต้นด้วยอาการ ‘ติดลบ’ เพราะเป็นหนี้การศึกษานั้น,
ยังมีคนรุ่นใหม่อีกไม่น้อย ที่ส่วนใหญ่มักมีต้นทุนในชีวิตดีกว่าคนอื่นๆ ที่หันมา ‘สมาทาน’ เอาลัทธิคลั่งการทำงานมาเป็นอัตลักษณ์หรือตัวตนของตัวเอง
ที่จริงแล้ว ไม่ใช่แค่คนรุ่นใหม่เท่านั้น แต่สืบย้อนขึ้นไปถึงเหล่าบูมเมอร์ หรือคนในเจนเอ็กซ์ เราจะพบว่ามีคนจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่สมาทาน Workism อย่างเต็มตัว!
ถ้ายังจำกันได้ แม้กระทั่งคนระดับนายกรัฐมนตรีของบางประเทศ ก็ยังเคยบอกว่าตัวเองขอทำงานหามรุ่งหามค่ำ คือทำงานเลิกดึกๆ ดื่นๆ เพราะสมัยเป็นซีอีโอบริษัทใหญ่มาก่อนเคยทำแบบนั้น และถึงขั้นให้คนจัด ‘ห้องนอน’ เอาไว้ในทำเนียบรัฐบาลกันเลยทีเดียว ทำงานไปแล้วเหนื่อยเหน็ด จะได้นอนในห้องทำงานที่ทำเนียบ
วิธีคิดแบบนี้ ‘สวนทาง’ กับคำว่า Work-Life Balance อันเป็นคำฮิตติดปากคนในสังคมอยู่พักหนึ่ง
ที่สำคัญก็คือ มันสวนทางกับการ ‘พักผ่อนประจำปี’ ของผู้นำประเทศหลายแห่ง ตัวอย่างเช่น ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ต้องมีการไปพักผ่อน (เช่นที่แคมป์เดวิด หรือที่มาร์ธาวินยาร์ด) กันปีละหลายสิบวัน ซึ่งในบางรายก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมได้เหมือนกัน เช่นประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เคยไป ‘พักร้อน’ ในช่วงสงครามอิรัก เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า คนเราอาจมีวิธีมอง ‘การทำงาน’ ต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับปูมหลังทางวัฒนธรรมและวิธีคิด
เล่ามาถึงตรงนี้ หลายคนอาจยังงงๆ อยู่ว่า ทำไมเคย์นส์ นักเศรษฐศาสตร์ที่ยกมาข้างต้น ถึงได้เห็นว่ามนุษย์เราจะ ‘ทำงานน้อยลง’ ถึงระดับ 15 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ได้เล่า
คำตอบที่จริงๆ แล้วเป็น ‘สามัญสำนึก’ ก็คือ – ก็เพราะมนุษย์เรา ‘ฉลาด’ ขึ้นไงครับ พอเราฉลาดขึ้น เราก็สามารถสร้างเครื่องทุ่นแรงต่างๆ ให้เราได้ เช่นแทนที่จะต้องซักผ้าในลำธาร เราก็มีเครื่องซักผ้ามาทำแทน เอาเวลาที่เหลือไปทำอย่างอื่นได้ หรือแทนที่จะต้องเดินป่าเดินเขาขี่ม้าเดินทางเป็นเวลานานๆ ก็นั่งเครื่องบินแทน แป๊บเดียวก็ถึง
ในความเห็นของเคย์นส์ เทคโนโลยี ‘น่าจะ’ ทำให้มนุษย์เรา ‘สบาย’ ขึ้น เราจึงสามารถทำงานน้อยลงได้ จะเอาเวลามานั่งเพลินๆ สบายๆ หรือเอาเวลามา ‘ครุ่นคิด’ ถึงเรื่องสำคัญต่างๆ ในชีวิตก็ได้
เคยมีนักเขียนคนหนึ่ง เขียนเอาไว้ตั้งแต่ปี 1957 ว่าพอถึงศตวรรษนี้แล้ว สิ่งที่มนุษย์จะใช้ ‘นิยาม’ ตัวเอง จะไม่ใช่ตำแหน่งแห่งหนในการทำงานอีกต่อไป แต่จะคือ ‘งานอดิเรก’ ที่ตัวเองชอบทำ เช่น นาย A คือนักตกปลาตัวฉกาจ เขาใช้เวลาเกือบทั้งหมดในชีวิตไปกับการตกปลา และใช้เวลาทำงานที่ไปรษณีย์แค่วันละสองสามชั่วโมงเท่านั้น
หากมองจากสายตาของกงล้อประวัติศาสตร์ นี่คือสิ่งที่มนุษย์ ‘พึงเป็น’ มิใช่หรือ?
เราอาจใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งเล่นเกมก็ได้ เล่นกีฬาก็ได้ นั่งถกเถียงกันก็ได้ แช่น้ำในออนเซ็น หรือทำอย่างอื่นได้อีกสารพัดอันเป็นสิ่งที่ ‘พึงปรารถนา’ น่าทำ
แต่ไม่เลย!
สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันขณะ ก็คือมนุษย์เราไม่ได้นิยามตัวเองด้วยกิจกรรมในเวลาว่างหรืองานอดิเรก ทั้งไม่ได้นิยามตัวเองด้วยตำแหน่ง ยศ หรือชาติตระกูลอีกแล้ว
แต่เราหันมานิยามตัวเองด้วย ‘งาน’ ต่างหาก
คำว่า Workism หมายถึง ‘ความเชื่อ’ ที่ว่า ‘งาน’ ไม่ใช่แค่สิ่งจำเป็นพื้นฐานเพื่อจะผลักดันเศรษฐกิจให้เดินหน้าไปได้เรื่อยๆ เท่านั้น แต่ ‘งาน’ คือ ‘ศูนย์กลาง’ หรือ ‘ใจกลาง’ ของอัตลักษณ์หรือตัวตนของเรา งานกลายเป็น ‘เป้าหมาย’ หรือ ‘นิพพาน’ ของชีวิต
นั่นทำให้เรา ‘นิยาม’ ตัวเองด้วย ‘งาน’ ที่เรากำลังทำอยู่ ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตามว่าเราทำงานนั้นไปเพื่ออะไร!
ย้อนกลับไปในปี 1980 พบว่ากลุ่มคนที่มีรายได้สูงสุด (เช่นเหล่าซีอีโอ ผู้บริหาร หรือประธานบริษัท) ที่จริงแล้วเป็นกลุ่มคนที่ ‘ทำงานน้อย’ กว่าเสมียนหรือพนักงานรายได้ต่ำนะครับ
เรื่องนี้จริงๆ แล้วสมเหตุสมผลอยู่ เพราะคนที่เป็นเจ้าของบริษัทก็ย่อมร่ำรวย และคนรวยก็ย่อมอยากมีชีวิตที่ ‘สบาย’ กว่าคนทั่วไป พวกเขาจึงเลือกทำงานน้อยลง ปล่อยให้งานอยู่ในมือของคนอื่นๆ ไป
แต่ภาพนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มีการศึกษาพบว่า ในปี 2005 กลุ่มคนที่ร่ำรวยที่สุด 10% กลับกลายเป็นกลุ่มคนที่มีชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยต่อสัปดาห์ ‘ยาวที่สุด’
ซึ่งนั่นแปลว่า คนกลุ่มนี้ได้ ‘ลดการใช้เวลาว่าง’ ของตัวเองลง (เพราะคนเรามีเวลาเท่ากัน ถ้าทำงานมาก ก็ต้องมีเวลาว่างน้อยลงแน่ๆ) จนมากกว่าคนกลุ่มอื่นๆ
เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องแปลกนะครับ เพราะตลอดประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ คนรวยย่อมทำงานน้อยกว่าคนจนเสมอมา แต่นี่คือ ‘ครั้งแรก’ ที่เกิดปรากฏการณ์ ‘คนรวยทำงานหนัก’ ขึ้นในโลก
คำถามก็คือ – ทำไม?
สำหรับคนจน การทำงานหนักหมายถึงเงิน หมายถึงการยกระดับความเป็นอยู่ หมายถึงการยกระดับสถานภาพของตัวเอง
แต่สำหรับคนรวยที่รวยล้นฟ้า รวยเป็นพันล้านหมื่นล้านแสนล้าน ทำไมพวกเขายังต้อง ‘ทำงานหนัก’ อยู่อีกเล่า?
คำตอบของเรื่องนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจอีกต่อไป แต่มีผู้อธิบายว่า ตัวเลขความรวยนั้นไม่ได้สำคัญเท่าไหร่ ทว่าการทำงานที่ทำให้เกิดความรวยต่างหากที่ดึงดูดใจ โรเบิร์ต แฟรงค์ (Robert Frank) เขียนไว้ใน The Wall Street Journal ว่า
“การสร้างความร่ำรวยสำหรับพวกเขา [คนที่รวยอยู่แล้ว]
คือกระบวนการทำงานสร้างสรรค์”
และการทำงานสร้างสรรค์ก็ก่อให้เกิดเนื้อตัว หัวใจ และตัวตนของคนเหล่านี้ขึ้นมา พวกเขาจึงสมาทาน Workism กันแบบเต็มตัว โดยตัวเลขหมื่นล้านแสนล้านอาจไม่ดึงดูดใจพวกเขามากเท่ากับการ ‘จัดลำดับ’ ความรวย ว่าใครอยู่ใน Forbes 500 บ้าง และใครอยู่ในลำดับที่เท่าไหร่
ที่จริงแล้ว เราทำงานหนักก็เพื่อจะ ‘ซื้อเวลาว่าง’ เหมือนที่เคยมีหนังสือเล่มหนึ่งพูดเรื่องนี้ไว้ในชื่อ ‘จะเลือกเงินหรือชีวิต’ ด้วยการตั้งคำถามว่า – เราจะเลือกทำงานหนักด้วยการอุทิศทุ่มตัวเองให้กับงานไม่ลืมหูลืมตา เงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็ผ่านช่วงเวลาที่เรืองรองที่สุดของชีวิตไปแล้ว, หรือเราจะเลือกมีเงินน้อยลง เพื่อจะมีและใช้ ‘เวลา’ ในแบบที่เราพึงปรารถนาเพิ่มมากขึ้นกันแน่
แน่นอน ในสังคมปากกัดตีนถีบที่มีแต่การ ‘กด’ คนจนและความจนเชิงโครงสร้าง คนจำนวนมากย่อมต้องเลือกการทำงานจนไม่มีเวลาพักผ่อนเพื่อหารายได้มาจุนเจือความเป็นมนุษย์ของตัวเอง นั่นเป็นปัญหาใหญ่ที่สังคมหนึ่งๆ ต้องร่วมกันแก้ไขเพื่อให้เกิด ‘ความมั่นคงทางสังคม’ (Social Security) ในระดับหนึ่ง เพื่อที่ผู้คนจะได้ไม่ตกหล่นจากมาตรฐานความเป็นมนุษย์ไป
แต่คำถามที่เกิดขึ้นในที่นี้ก็คือ – ก็แล้วถ้าคนที่เรียกได้ว่าเป็น ‘ต้นแบบ’ ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี ผู้บริหาร หรือผู้นำทางความคิดในสังคม ยังคงโถมทับแนวคิด Workism ลงไปสู่คนอื่นๆ และใช้ ‘แส้ที่มองไม่เห็น’ (แบบเดียวกับ ‘มือที่มองไม่เห็น’ ของอดัม สมิธ) เฆี่ยนตีผู้อื่นให้ต้องสมาทานตัวเองกับ Workism ไปด้วย – สังคมแบบนี้จะเป็นอย่างไร
เราได้เห็นอาการ ‘เบิร์นเอาต์’ ของคนจำนวนมากจนเกิดบทความประเภท Burnout Generation หรือบทความของ อีริน กริฟฟิธ (Erin Griffith) ในนิวยอร์คไทม์ส เรื่อง Why Are Young People Pretending to Love Work? หรือ ‘ทำไมคนหนุ่มสาวถึงแสร้งทำเป็นรักงาน’ กันมาแล้ว ภาพเหล่านี้เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งก็เพราะคนที่อยู่ด้านบนของพีระมิด กำลัง ‘กดทับ’ คนอื่นด้วยวิธีคิดแบบ Workism นี่เอง
ไม่แปลกที่จะรักงาน ทุ่มเทให้งาน โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นเจ้าของบริษัท เป็นคนรวย เป็นเจ้าของกิจการ แต่ก็ต้องดูด้วยว่า ความรักงานนั้นกินเส้นพรมแดนเลยไปถึง Workism ที่บีบบังคับให้คนอื่นๆ ต้องกลายเป็นทาสตอบสนองความต้องการในการทำงานของตัวคุณไปด้วยหรือเปล่า
มาถึงศตวรรษนี้แล้ว สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘มนุษย์’ พึงมีสิทธิที่จะ ‘เลือก’ วิธีมีชีวิตของตัวเองได้ไหม,
หรือว่าไม่ได้!