สิ่งที่เราต้องทำอย่างน้อยวันละสองครั้งก็คือการแปรงฟัน
บางคนอาจจะแปรงฟันมากกว่าวันละสองครั้งด้วยซ้ำ โดยเฉพาะหลังอาหาร เพื่อรับประกันความสะอาดของช่องปากและทำให้เกิดความมั่นใจในบทสนทนา
หลายคนอาจจะบอกว่า จริงๆ แล้วการแปรงฟันยังมีหน้าที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งอยู่ด้วย นั่นคือทำให้เกิดความ ‘ขาวสะอาด’ ของฟัน ซึ่งก็คือเรื่องของความสวยงามบนใบหน้า ด้วยเหตุนี้ เราจึงพบเห็นยาสีฟันมากมายที่โฆษณาเรื่องการช่วยดับกลิ่นปากและการทำให้ฟันขาว ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องสำคัญของยาสีฟัน แต่ก็ต้องบอกว่ายังไม่ใช่ ‘หน้าที่’ ที่สำคัญที่สุดของยาสีฟันหรอกนะครับ
หน้าที่ที่สำคัญกว่ากลิ่นปาก ก็คือการป้องกันฟันผุ
แล้วทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับ ‘ฉลาม’ อย่างไรกันเล่า?
ก่อนจะเฉลยเรื่องฉลาม อยากให้คุณสังเกตดูเสียหน่อยว่า ‘ฟังก์ชัน’ ของยาสีฟันที่มนุษย์เราใช้นั้น มีอยู่ด้วยกันอย่างน้อยๆ ก็สามฟังก์ชันด้วยกัน อย่างแรกคือใช้เพื่อ ‘ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม’ ในรูปของการป้องกันกลิ่นปาก ทำให้คนที่อยู่ใกล้ๆ ไม่ต้องหวาดระแวงแขยงกลิ่นอันไม่พึงปรารถนา อย่างที่สองก็คือใช้เพื่อสร้าง ‘ความงาม’ (คือทำให้ยาสีฟันมีลักษณะเป็น ‘เครื่องสำอาง’ อย่างหนึ่ง) คือทำให้ฟันขาวสะอาด โดยฟังก์ชันที่สำคัญที่สุด น่าจะคือการใช้ยาสีฟันในมิติ ‘สุขภาพ’
การใช้ยาสีฟันเพื่อปฏิสัมพันธ์ทางสังคมทำให้เราเลือกใส่สารประเภท ‘ดับกลิ่น’ ลงไปเยอะแยะไปหมด เช่น สารต่อต้านแบคทีเรีย (Antibacterial Agents) ซึ่งก็มีหลายอย่าง ที่ใส่กันมากก็คือ ไตรโคลซาน (Triclosan) หรือนับรวมไปถึงสารจำพวกดีเทอร์เจนต์ (Detergent) ที่มีคุณสมบัติในการจับกับโมเลกุลทั้งที่มีขั้วและไม่มีขั้ว เลยช่วยทำความสะอาดได้ดี ในกรณีของยาสีฟันมักจะเป็นโซเดียมลอเรธซัลเฟต (Sodium Laureth Sulfate) หรือสารพวกให้กลิ่นหอมๆ อื่นๆ เช่น น้ำมันสกัดโน่นนั่นนี่
ส่วนการใช้ยาสีฟันเพื่อขัดฟันให้ขาว ก็ต้องมีสารขัดฟัน (Abrasive) ซึ่งก็มีหลายต่อหลายตัว เช่นสารพวกคาร์บอเนต อย่างแคลเซียมคาร์บอเนต (Calcium Carbonate) แมกนีเซียมคาร์บอเนต (Magnesium Carbonate) หรือโซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium Bicarbonate) เป็นต้น
แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ ‘ฉลาม’ ของเรา
สิ่งที่เกี่ยวข้องกับฉลาม (หรือพูดให้ถูกกว่าคือ ‘ฟันฉลาม’) ก็คือฟังก์ชันที่สาม หรือการป้องกันฟันผุต่างหากเล่า
ถ้าพูดในแง่หน้าที่ป้องกันฟันผุ ยาสีฟันจำเป็นจะต้องมี ‘ฟลูออไรด์’ (Fluoride) เป็นส่วนประกอบสำคัญ เพราะฟลูออไรด์นี่แหละครับช่วยป้องกันฟันผุได้ดีที่สุด โดยที่เจ้าฟลูออไรด์นั้นไม่ได้มีอยู่แบบเดียว อย่างน้อยที่สุดที่นิยมใส่ไปในยาสีฟัน จะมีอยู่สองรูปแบบด้วยกัน แบบแรกคือ โซเดียมฟลูออไรด์ (Sodium Fluoride หรือ NaF) ซึ่งก็คือฟลูออไรด์ที่เกาะอยู่กับโซเดียม กับอีกแบบหนึ่งมีชื่อเรียกว่า ‘ดีบุก’ ฟลูออไรด์ หรือ Tin(II) Fluoride หรือบางทีก็เรียกว่า สเตนนัสฟลูออไรด์ (Stannous Fluoride) ซึ่งเป็นสารประกอบทางเคมีที่ใช้ Tin หรือดีบุกแทนโซเดียม ซึ่งเป็นสูตรที่เกิดขึ้นทีหลัง แต่นักวิทยาศาสตร์บอกว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าโซเดียมฟลูออไรด์
คำถามก็คือ – แล้วทำไมฟลูออไรด์ถึง ‘ป้องกันฟันผุ’ ได้
มันมีกลไกอะไรหรือ?
เชื่อไหมครับ – ว่าคำตอบเรื่องนี้เกี่ยวพันกับ ‘ฟันฉลาม’ ด้วย!
ถ้าพูดกันอย่างเคร่งครัดแล้ว ฟลูออไรด์ทำหน้าที่ ‘ซ่อมแซม’ อีนาเมล (หรือสารเคลือบฟัน) ที่สึกหรอไป มากกว่าจะทำหน้าที่ป้องกันความเสียหายหรือป้องกันฟันผุอย่างที่เรามักพูดกัน
อย่างไรก็ตาม ต้องขออนุญาตเล่าถึงอีนาเมล (Enamel) กันเสียก่อน ว่าอีนาเมลนั้นมีองค์ประกอบทางเคมีอย่างหนึ่งที่สำคัญ นั่นคือ ‘แร่ธาตุ’ (Mineral) ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ไฮดร็อกซีอะพาไทต์ (Hydroxyapatite) ซึ่งเป็นสารหลักที่พบได้ในอีนาเมลของฟันตามธรรมชาติ
คำว่า อะพาไทต์ (Apatite) นั้นสำคัญนะครับ เพราะจริงๆ มันคือแร่ธาตุในกลุ่มฟอสเฟต ซึ่งปรากฏอยู่ในรูปของ ‘รัตนชาติ’ หรือหินมีค่าได้ด้วยเหมือนกัน มีความเชื่อกันว่า หินอะพาไทต์นั้นเป็นหินที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้มนุษย์ (อันนี้เป็นความเชื่อออกแนวมูๆ อยู่สักหน่อย) โดยเฉพาะอะพาไทต์สีเหลือง ที่ช่วยให้จิตใจแข็งแกร่งได้
เกร็ดของอะพาไทต์อีกอย่างหนึ่งก็คือ พบอะพาไทต์มากในหินจากดวงจันทร์ที่มนุษย์อวกาศจากยานอวกาศอะพอลโลเก็บกลับมายังโลกด้วย แต่ถ้าคุณอยากรู้จักอะพาไทต์ ไม่ต้องไปหาถึงดวงจันทร์หรอกนะครับ เพราะอย่างที่บอก – มันอยู่ในอีนาเมลของฟัน และในกระดูกของเราด้วย โดยถือเป็นองค์ประกอบหลักของอีนาเมลหรือเคลือบฟันเลยทีเดียว
แล้วฟลูออไรด์ไปเกี่ยวอะไรกับอะพาไทต์ด้วยล่ะนี่?
คำตอบก็คือ เวลาที่ฟันผุนั้น มันจะเกิดกระบวนการที่เรียกว่า Demineralization ซึ่งคำว่า De- ก็หมายถึงการไป ‘เอาออก’ หรือ ‘ลด’ หรือ ‘ทำลาย’ อะไรทำนองนั้น ทำให้แร่ธาตุในอีนาเมลของฟันเรามันหายไป ซึ่งแร่ธาตุสำคัญก็คือไฮดร็อกซีอะพาไทต์อย่างที่ว่านั่นแหละครับ
แร่ธาตุจะน้อยลงได้ ก็เมื่อปากของเรามีสภาวะเป็นกรด ฟันเลยสูญเสียแร่ธาตุออกมา แต่ไม่ได้น้อยลงอย่างถาวรนะครับ เพราะมันสามารถ ‘เติม’ แร่ธาตุเข้าไปใหม่ได้ ผ่านกระบวนการ Remineralization ซึ่งคำว่า Re- ก็หมายถึงการทำซ้ำ ทำให้เกิดขึ้นมาใหม่นั่นแหละครับ
ตรงนี้แหละครับ ที่คือบทบาทสำคัญของฟลูออไรด์ เพราะฟลูออไรด์จะทำให้เกิดแร่ธาตุแบบอะพาไทต์ขึ้นมา เรียกว่า ‘ฟลูโอราพาไทต์’ (Fluorapatite) ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้เป็นองค์ประกอบของฟันมนุษย์ ‘โดยธรรมชาติ’ นะครับ (อย่างที่บอกว่าฟันมนุษย์มี ‘ไฮดร็อกซีอะพาไทต์ เป็นองค์ประกอบหลัก) แต่เจ้าฟลูโอราพาไทต์นี้ มันสามารถเข้าไปสร้างกระบวนการ Remineralization ให้ฟันของเราได้ โดยมันมีหลักการในการเพิ่มแร่ธาตุให้เราหลายรูปแบบ ซึ่งถ้าเล่าก็จะละเอียดละออเกินไป แต่เอาเป็นว่า เจ้าฟลูโอราพาไทต์นี่ มันเข้าไป ‘เสริม’ ความแกร่งให้ฟันของเราก็แล้วกัน
แล้วทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับฉลามอย่างไร?
คำตอบก็คือ เพราะฟลูโอราพาไทต์ คือแร่ธาตุสำคัญที่เราพบได้ใน ‘ฟันของฉลาม’ น่ะสิครับ เจ้าฉลามนั้นมันจะผลัดฟันของมันอยู่ตลอดเวลา ประมาณว่าในชั่วชีวิตของมัน มันผลัดฟันมากถึง 35,000 ซี่ โดยฟันของฉลามนั้นจะมีโครงสร้างเป็นฟลูโอราพาไทต์ที่ซับซ้อน
ด้วยเหตุน้ี การแปรงฟันโดยใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ จึงมีส่วนทำให้ฟันของเรามีโครงสร้างคล้ายๆ ฟันของฉลามมากขึ้น เพราะถ้าไฮดร็อกซีอะพาไทต์สูญเสียไปผ่านกระบวนการ Demineralization เราก็เติมมันกลับด้วยฟลูโอราพาไทต์ด้วยกระบวนการ Reminaralization ก็เท่านั้นเอง
ฉลามจะชอบงับคุณหรือเปล่านั้นไม่รู้นะครับ รู้ก็แต่ว่า – วิทยาศาสตร์ของยาสีฟันอาจทำให้ฟันของเราใกล้เคียงกับฟันฉลามมากขึ้นได้ด้วยกระบวนการแบบนี้นี่เอง