เมื่อ ‘ผี’ เกิดจากเสียงหนวกหูที่ไม่ได้ยิน

ในภาษาไทย คำว่า ‘เสียง’ ดูเหมือนจะมีอยู่คำเดียว

แต่ในภาษาอังกฤษ คำว่า ‘เสียง’ มีหลายคำ เช่น Voice หมายถึงเสียงที่เราพูดหรือร้องเพลงออกมา คือเสียง ‘ของเรา’ เอง หรือคำว่า Sound ที่มีลักษณะเป็นกลางๆ หมายถึงเสียงทั่วไป อาจดีหรือร้ายก็แล้วแต่คำขยาย

แต่คำที่หมายถึงเสียง ‘หนวกหู’ หรือเสียง ‘รบกวน’ นั้น ในภาษาอังกฤษมีคำเรียกเฉพาะว่า Noise

อาร์จัน ชางการ์ (Arjun Shankar) นักสื่อสารจากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ในสหรัฐอเมริกา เคยบอกเอาไว้แบบจิกกัดว่า

“Sound คือเมื่อคุณตัดหญ้าในสนามของตัวเอง

“Noise คือเมื่อเพื่อนบ้านของคุณตัดหญ้าในสนามของเขา

“ส่วน Music คือเมื่อเพื่อนบ้านของคุณมาตัดหญ้าให้คุณในสนามของคุณ”

เวลาเราพูดถึงคำว่า ‘เสียงดังรบกวน’ หรือ Noise เรามักจะนึกถึงเสียงเพียงรูปแบบเดียว คือ ‘เสียงดัง’ ประเภท ‘หนวกหู’ แบบที่คนกรุงเทพฯ คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

คุณอาจไม่รู้ก็ได้ว่า เคยมีการจัดอันดับเมืองที่ ‘หนวกหู’ ที่สุดในโลกสิบอันดับ (ดูที่นี่) เอาไว้เมื่อต้นปี 2023 และกรุงเทพฯ ของเราอยู่ในอันดับที่ 9 โดยอันดับที่หนึ่งคือเมืองดักก้าในบังคลาเทศ อันดับสองคือโมราดาบัดในอินเดีย อันดับสามคืออิสลามาบัดในปากีสถาน โดยสถิติเรื่องความ ‘หนวกหู’ ที่ว่านี้ เราเฉือนเอาชนะนิวยอร์คที่อันดับ 10 ไปเพียงเล็กน้อย เพราะกรุงเทพฯ ของเรามีค่าความดังของเสียงอยู่ที่ 48-99 เดซิเบล ในขณะที่นิวยอร์คอยู่ที่ 56-95 เดซิเบล

เวลาพูดถึงความ ‘หนวกหู’ เราจึงมักนึกถึงเสียงดังเพียงอย่างเดียว แต่คุณรู้ไหมว่า Noise นั้น สามารถแบ่งออกได้เป็นสองแบบ แบบแรกคือเสียงประเภทที่เรียกว่า Quantitative Noise หรือเป็นเสียงรบกวนเชิงปริมาณ นั่นก็คือเสียงดังๆ แบบที่เราคุ้นเคยนั่นแหละครับ แต่นอกจากนี้แล้ว ยังมีแบบที่สองอีก เรียกว่า Qualitative Noise หรือเสียงดังรบกวนในแบบที่อาจจะไม่ดังเท่าไหร่ แต่มันมี ‘คุณภาพของเสียง’ ที่จะรบกวนเราได้

เสียงดังรบกวนแบบแรกนั้น คนเมืองคุ้นเคยกันดี เพราะที่มาของเสียงรบกวนแบบนี้ที่มากที่สุดในเมือง ก็คือเสียงของการจราจร ตามมาด้วยเสียงของการก่อสร้าง และเสียงจากสถานบันเทิงประเภทไนท์ไลฟ์ต่างๆ เป็นเสียงประเภทนี้นี่แหละครับ ที่คนมักจะโทรไปร้องเรียนจากทางการกัน

ในนิวยอร์ค มีสิ่งที่เรียกว่า Noise Code ซึ่งประชาชนจะต้องปฏิบัติไม่สร้างเสียงรบกวนดังเกินไป ตัวอย่างเช่น จะถือว่าเสียงสุนัขเห่า (แล้วเจ้าของไม่ห้ามปราม) ที่ดังติดต่อกันนาน 10 นาทีขึ้นไปในช่วงระหว่างเจ็ดโมงเช้าถึงสี่ทุ่ม หรือดังติดต่อกันนาน 5 นาทีขึ้นไป ในช่วงระหว่างสี่ทุ่มถึงเจ็ดโมงเช้า จะถือว่าเป็นเสียงดังรบกวน สามารถร้องเรียนได้

ซึ่งก็ทำให้บางคนตีความขำๆ ว่า – แปลว่าถ้าสุนัขเห่าสี่นาทีครึ่งตอนตีสองไม่ถือว่าเป็นเสียงดังรบกวนกระนั้นหรือ!

เสียงดังรบกวนแบบนี้เราเข้าใจกันดีว่ามันรบกวนจริงๆ และส่งผลจริงๆ ในแบบที่เห็นผลลัพธ์กันเลยทีเดียว เช่นมีรายงานว่า หลังเปิดสนามบินใหม่ในมิวนิกได้ 18 เดือน พบว่าความดันโลหิตและฮอร์โมนความเครียดของเด็กๆ ที่อยู่ในละแวกสนามบินพุ่งสูงขึ้น และเคยมีรายงานในปี 1975 พบว่าการอ่านของนักเรียนประถมหกที่ห้องเรียนอยู่ติดกับรางรถไฟนั้น ตามหลังนักเรียนในห้องเรียนที่เงียบกว่าอยู่ถึงเกือบหนึ่งปี

นี่คือ ‘ความหนวกหู’ ที่คุณสัมผัสได้!

แต่พอมาเป็นเสียงดังรบกวนแบบที่สอง หรือ Qualitative Noise แล้วละก็ หลายคนอาจงงๆ ว่ามันคืออะไร และมันส่งผลเสียอย่างไรถึงขั้นกลายเป็น ‘ผี’ ขึ้นมาได้เลยหรือ!

เราต้องเข้าใจก่อนนะครับ ว่ามนุษย์เราไม่ได้ได้ยินเสียงทุกเสียง และคนแต่ละคนก็ได้ยินเสียงแตกต่างกันด้วย ถ้าเป็นเสียงที่มีความถี่ต่ำหรือสูงเกินไป เราจะรับเสียงนั้นไม่ได้ คุณรู้ไหมครับ ว่าในปัจจุบันนี้ เสียงที่กำลัง ‘ทำร้าย’ มนุษย์อย่างมาก คือเสียงประเภทความถี่ต่ำที่ซ่อนซ้อนอยู่ในเสียงดังหนวกหูจนเราไม่ได้ยินนี่แหละครับ

เสียงความถี่ต่ำก็อย่างเช่น เสียงของเครื่องซักผ้าที่หมุนหึ่งๆ เสียงของคอมเพรสเซอร์แอร์ที่ดังฮัมๆ หรืออาจจะเป็นเสียงอะไรอื่นอีกมากที่ความถี่ต่ำเสียจนเราไม่ได้ยิน

เรามักจะร้องเรียนทางการว่าถูกเสียงประเภทนี้รบกวนไม่ได้นะครับ เพราะมันคือเสียงที่แม้แต่ทางการก็ไม่ถือว่าเป็นเสียงรบกวน

ก็จะรบกวนได้ยังไงกันล่ะ ในเมื่อเสียงพวกนี้มีระดับความดังที่วัดออกมาเป็นค่าเดซิเบลต่ำมาก!

ถ้าเป็นเสียงประเภทดังลั่นไปเลย เราอาจจะใส่ที่อุดหูป้องกันตัวพอได้อยู่ แต่ถ้าเป็นเสียงหึ่งๆ ฮัมๆ ความถี่ต่ำนั้น ต่อให้ใส่ที่อุดหู คุณก็ยังรู้สึกถึงมันได้เป็นอย่างดี เพราะเสียงพวกนี้มันไม่ได้เข้ามาเขย่าหูของคุณเท่านั้น แต่มันจะเข้ามาเขย่าบานหน้าต่างให้สั่นน้อยๆ แล้วยังพื้น ตู้ เตียง รวมไปถึงอวัยวะภายในของคุณอีกล่ะ

เขาบอกว่าในปัจจุบันนี้ แม้ในพื้นที่ห่างไกล เสียงพวกนี้ก็ยังติดตามไปแทบจะทุกที่ เพราะมีการสร้างโกดังหรือเซิร์ฟเวอร์เก็บ ‘ข้อมูล’ ในทางดิจิทัลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเซิร์ฟเวอร์ยักษ์ใหญ่พวกนี้อาจจะไม่ได้ส่งเสียงดัง แต่มันส่งเสียงที่มีคลื่นความถี่ต่ำออกมาอยู่ตลอดเวลา ก่อให้เกิดกรณีร้องเรียนในสหรัฐอเมริกาขึ้นมาหลายราย

แล้วเสียงพวกนี้มันกลายเป็น ‘ผี’ ขึ้นมาได้อย่างไรกัน?

ในบทความชื่อ Why is the World So Loud? ของ The Atlantic เล่าถึงเรื่องราวของพนักงานบริษัทเครื่องมือแพทย์แห่งหนึ่งที่ต้องขนลุกขนชัน เพราะในห้องทำงานของพวกเขานั้น มักจะปรากฏ ‘ภาพ’ ของตัวอะไรสักอย่างหนึ่งเป็นเงาสีเทาๆ เลือนรางอยู่ตลอดเวลา

แล้วไอ้เจ้าเงาสีเทาๆ นี่ เวลามันปรากฏตัวขึ้น จะปรากฏพร้อมกับอาการต่างๆ สอดคล้องกับความเป็นผีกันเลยทีเดียว เช่น อุณหภูมิห้องต่ำลง คนที่เห็นจะมีอาการเหงื่อแตก ตัวซี่ตัวสั่น เหมือนเกิดอาการกลัวในระดับขนคอลุกพองขึ้นมาโดยอธิบายไม่ได้

แต่ก็นั่นแหละครับ ด้วยความที่คนทำงานในบริษัทนี้ออกจะมีความคิดในทางวิทยาศาสตร์ เขาก็เลยค่อยๆ สังเกต และพบว่า เป็นเจ้าอุปกรณ์ในห้องแล็ปทางการแพทย์นั่นแหละ ที่น่าจะเป็นตัวการ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือพัดลมในอุปกรณ์ที่มีการหมุนและสั่นอยู่ตลอดเวลา พลางส่งเสียงที่มีคลื่นความถี่ต่ำจนไม่ได้ยินออกมา

พนักงานที่ว่านี้ เขาไม่ได้แค่สังเกตเฉยๆ นะครับ แต่ถึงกับเขียนออกมาเป็นรายงานตีพิมพ์เป็นเรื่องเป็นราวเลยทีเดียว ข้อสรุปก็คือ เมื่อเครื่องพวกนี้ส่งเสียงคลื่นถี่ต่ำออกม แม้ร่างกายเราจะไม่ได้ยิน แต่คลื่นความถี่พวกนี้มันมีพลังงานมากพอที่จะส่งผลต่อร่างกายของเราได้โดยที่เราไม่รู้ตัว

แล้วพลังงานที่ว่านี้ มันไม่ได้แค่ทำให้เกิดอาการหนาวสั่น ตัวสั่น เหงื่อแตกเท่า หรือหายใจติดขัด (เหมือนเห็นผี) เท่านั้นนะครับ แต่มันยังทำให้ลูกตาของเราเกิดอาการ ‘สั่น’ ตามความถี่ได้ด้วย ผลที่เกิดขึ้นก็คือ เราจะเหมือน ‘มองเห็น’ ภาพเบลอๆ ของอะไรบางอย่างตามมุมๆ ตา ซึ่งก็มักจะปรากฏเป็นตัวอะไรสักอย่างที่เลือนๆ เป็นสีเทาๆ

หรือที่เราเรียกว่า ‘ผี’ นั่นเองแหละครับ!

จะเห็นได้ว่า เสียงที่ดังรบกวนเรานั้นไม่ได้มีแบบเดียว แต่มีอยู่หลายแบบ และแบบที่เป็นคลื่นความถี่ต่ำนี้ บางทีเรา ‘ไม่เห็น’ ด้วยซ้ำว่ามันเป็นปัญหา ทั้งที่มันอาจส่งผลต่อสุขภาพของเราในระยะยาวได้ และที่สำคัญก็คือ ทุกวันนี้ ‘ความเงียบ’ กลายเป็นของหรูหราไปแล้ว คุณจะได้ความเงียบก็ต่อเมื่อต้อง ‘จ่ายเงิน’ ไปอยู่ในที่เงียบๆ เช่น สปา หรือรีสอร์ตหรูที่เห็นว่าความเงียบเป็นของสำคัญ แต่ไม่อาจหาความเงียบได้จริงๆ ในชีวิตประจำวัน

เรื่องของ Noise จึงสำคัญเช่นนี้ และกลายเป็นเรื่องที่คนทั่วไปต้อง Voice ออกไปให้ผู้มีอำนาจรู้ด้วยว่า – นี่เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ต่อสุขภาวะของมนุษย์!