ฮัลโลวีนเป็นวันที่มีกำเนิดซับซ้อน
ที่ซับซ้อน ก็เพราะเป็นวันที่ทั้งเกี่ยวและไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความเชื่อทางศาสนาน่ะสิครับ
หลายคนอาจคิดว่า ฮัลโลวีนหรือ 31 ตุลาคมเป็นวันสำคัญ แต่จริงๆ แล้ว วันที่สำคัญกว่าคือวันที่ 1 และ 2 พฤศจิกายนนะครับ
เพราะวันที่ 1 คือวัน All Saints’ Day (คือวันฉลองนักบุญทั้งหลาย) วันที่ 2 คือวัน All Souls’ Day คือวันฉลองวิญญาณทั้งหลาย) โดยนัยของสองวันนี้ก็คือ วันที่ 1 เป็นวันที่บอกว่าเราควรเอาเยี่ยงอย่างพวกนักบุญในสวรรค์อย่างไรบ้าง ส่วนวันที่ 2 คือการบอกว่าสำหรับวิญญาณทั้งหลายที่อยู่ๆ กันทั้งในโลกนี้ รวมไปถึงพวกที่ยังไปไม่ถึงนรกหรือสวรรค์ (คืออยู่ใน ‘ไฟชำระ’ ตามความเชื่อแบบคริสต์) ก็ควรจะมีเมตตาต่อกัน
ทีนี้วันฉลองนักบุญทั้งหลายยังมีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่าวัน All Hallows’ Day หรือเรียกว่า Hallowmas ซึ่งคล้ายๆคริสต์มาสนั่นแหละครับ แต่เป็นฮัลโลมาส แล้วถ้าคริสต์มาสมีคริสต์มาสอีฟ (คือคืนก่อนคริสต์มาส) ได้ วันฮัลโลมาสก็ต้องมีคืนก่อนวันฮัลโลได้ด้วย
วันนี้เรียกว่าวันออลฮัลโลอีฟ ซึ่งในที่สุดก็เกิด contraction ของเสียง จนกลายมาเป็น Hallowe’en (มาจาก Hallos’ Evening หรือ Eve) แล้วก็กลายมาเป็นฮัลโลวีนในที่สุด
เพราะฉะนั้น ในทางศาสนา วันฮัลโลวีนที่เชื่อกันว่าเป็นวันปล่อยผีอะไรนี่ เลยไม่ได้มีอยู่จริงๆ แล้วเอาเข้าจริง เขาบอกกันว่า ธรรมเนียมแต่งตัวเป็นผี เดิมทีเดียวเป็นของพวก pagan หรือพวกนอกรีตด้วยซ้ำ
ธรรมเนียมนี้ จริงๆ แล้วเริ่มมาจากพวกเกลิก (Gaelic) ในไอร์แลนด์หรือสก็อตแลนด์ ที่เป็นวันฉลองการสิ้นสุดของฤดูร้อน (Summer’s End) ซึ่งมีกันมาก่อนแล้ว ก่อนที่ศาสนาคริสต์จะเข้ามาถึงดินแดนแถบนั้น (แล้วก็ไปว่าเขาว่าเป็น pagan นอกรีต) โดยจะฉลองกันในคืนวันที่ 31 ต.ค. นี่แหละครับ
ทีนี้พอศาสนาคริสต์เข้าไป ก็เลยต้องไป ‘กลืน’ ธรรมเนียมพื้นเมือง ด้วยการทำให้วันฉลองนี้เข้ากันได้กับธรรมเนียมของตัวเอง (เรียกว่าไป Christianize วันฉลองนี้) ให้กลายมาเป็นวันฮัลโลวีนในที่สุด ซึ่งก็ประสบความสำเร็จดีเสียด้วย
เรื่องนี้เขาบอกว่าให้ดูหลักฐานจากการที่คนอเมริกันฉลองฮัลโลวีนมากกว่าคนยุโรป (คนยุโรปไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่) เพราะคนไอริชอพยพไปอยู่อเมริกากันมากก็เลยเอาทั้งวันเซนต์แพททริคและธรรมเนียมฮัลโลวีนติดไปด้วย
ฟังเรื่องนี้แล้วนึกถึงภูพระบาท ที่เมื่อก่อนคนแถบนั้นก็นับถือผี มีการสร้างเสาหินแบบบูชาผี แล้วพอพุทธศาสนาเข้ามา ก็เข้ามาเกลื่อนกลืนกันจนทำให้เสาหินเปลี่ยนไปเป็นเสมาธรรมจักร หรือเรื่องของนาคที่เป็นความเชื่อพื้นบ้าน ที่พอพุทธศาสนาเข้ามาก็ทำให้นาคกลายเป็นส่วนหนึ่งของพุทธไปด้วย (เช่นเรื่องเล่าของพระอุปคุต หรือการที่นาคไปอยู่ในโบสถ์ เป็นต้น
จริงๆ คำอธิบายฮัลโลวีนที่ว่ามา เป็นแค่คำอธิบายหนึ่งเท่านั้นนะครับ ยังมีคำอธิบายอื่นด้วย ซึ่งมันก็เถียงกันไปเถียงกันมาเป็นที่ซับซ้อนน่าเวียนหัวเอามากๆเหมือนกันกับทุกๆ เรื่องในโลกนี้นี่แหละ
ถึงได้บอกว่ามันซับซ้อนไงครับ