เรามักไม่ชอบอยู่เงียบๆ
มนุษย์สร้างเทคโนโลยีขึ้นมากมายเพื่อไม่ให้ตัวเองได้อยู่กับความเงียบ เริ่มต้นตั้งแต่สร้างเสียงปรบมือ สร้างภาษา สร้างเสียงเพลง และสร้างเครื่องมือสื่อสารเพื่อให้ได้อยู่ร่วมกัน หรืออย่างน้อยที่สุด-ก็เพื่อไม่ให้รู้สึกว่าอยู่เพียงลำพัง
สำหรับหลายคน ความเงียบมีค่าเท่ากับความว่างเปล่า หลายครั้งความว่างเปล่ามีค่าเทียบเท่ากับความว่างโหวง คล้ายเรามีแต่โพรงว่างๆในอก แต่ในนั้นไม่มีหัวใจเต้นอยู่
เมื่ออยู่ตามลำพัง เราจึงมักหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาติดต่อกับคนอื่น แม้ไม่ได้พูด แม้เหมือนเงียบ แต่ในความเงียบกลับไม่เงียบ กลับอึงอลไปด้วยสุ้มเสียงความคิดของผู้คน หลายครั้งเมื่ออยู่เงียบๆต่อหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือนั้น กลับมีเสียงดังของโลกทั้งใบตะโกนใส่หน้า
ดังนั้น ความเงียบที่แท้จริงจึงคือความเงียบที่รู้จักอดทนอยู่กับความเงียบ และเมื่อคุ้นชินกับความเงียบแล้ว การอยู่ลำพังก็ไม่ใช่ความโดดเดี่ยวอีกต่อไป
เมื่ออยู่ลำพัง เราเรียนรู้จากความเงียบได้มากมาย ขอเพียงอยู่กับความเงียบ ฟังเสียงของมัน มองดูนัยน์ตาของความเงียบ และพยายามเรียนรู้ในสิ่งที่ความเงียบกำลังตะโกนสอนเราถึงความลับอันซับซ้อนว่าด้วยตัวตนของเราเอง
ความเงียบอีกแบบคือความเงียบเมื่ออยู่กับใครอีกคนหนึ่ง ความเงียบแบบนี้มีทั้งเงียบเยียบเย็นและอบอุ่น
ว่ากันว่า ความเงียบคือการแสดงความโกรธขึ้งเกลียดชังที่ได้ผลที่สุด แต่ก็ว่ากันอีกว่า มีแต่คนที่สนิทสนมกันที่สุดเท่านั้น ที่สามารถอยู่ด้วยกันโดยไม่ต้องสนทนาพูดคุย ทว่าเรียนรู้ถึงความลับของกันและกันและความลับของนาฬิกาได้ด้วยการนั่งเฉยๆ และปล่อยให้ความเงียบท่วมท้น
ความเงียบคือความว่างจากเสียง แต่ที่สำคัญกว่า คือความเงียบที่ว่างจากถ้อยคำและการตีความ
เรามักคิดว่าดอกกุหลาบมีกลิ่นหอม แต่กลิ่นนั้นเป็นเพียงกลิ่นอย่างหนึ่ง ความหอมคือการตีความของเรา
เรามักคิดว่าถ้อยคำบางอย่างไพเราะ แต่ถ้อยคำก็เป็นเพียงคลื่นเสียง ความไพเราะคือการตีความของเรา
เรามักคิดว่าตัวเองเกิดมาโดยมีความหมายอะไรบางอย่าง แต่ตัวเราก็เป็นเพียงตัวเรา เป็นการทำงานของปฏิกิริยาชีวเคมีมากมายและซับซ้อนคาบเกี่ยวกับการทำงานของจิต ส่วนความหมายที่ว่า ก็คือการตีความของเราอีกนั่นเอง
ความเงียบช่วยให้เรามองเห็นเสียงดังของการพิพากษาตีความ ความเงียบช่วยให้เราเห็นว่าเราเคยเข้าใจความจริงอย่างผิดๆในขั้นพื้นฐานอย่างไรบ้าง
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเงียบ