รถยนต์ในความทรงจำ

เปอโยต์ 505

วันนั้นถนนโล่ง ผมจึงลอยไปบนถนนลาดลงเขาที่ความเร็ว 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในรถเปอโยต์ 505 คันเก่า ที่เพื่อนคนหนึ่งเป็นผู้ขับ

อาการลอยละล่องไปในรถอายุหกขวบที่ทำความเร็วได้ถึงเพียงนั้น ผมคิดว่ามีอะไรบางอย่างละม้ายเวลาเมา มันเหมือนหลุดเข้าไปในโลกอีกใบหนึ่ง-โลกที่ไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลย

ครั้งหนึ่ง สมัยผมยังเด็ก พ่อเคยขับรถด้วยความเร็ว 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วมีหมาสีดำสองตัววิ่งตัดหน้ารถกระชั้น

พ่อไม่ลังเลสักนิดที่จะพุ่งตรงต่อไป ไม่มีการเหยียบเบรก ไม่มีการหักพวงมาลัย

เพลงที่เปิดอยู่ในรถตอนนั้นคือบลูดานูบวอลท์ซของโยฮันน์ สเตราซ์ มันเป็นเพลงที่อ่อนหวาน ร่าเริง และเต็มไปด้วยความสดใส เพลงทำให้ผมจำภาพหมาดำสองตัวนั้นได้ดี เพราะในเสี้ยววินาทีแรกที่เห็น พวกมันวิ่งไล่กันเริงร่าแบบหมาวัยรุ่นที่ไม่เคยเห็นว่ามีอะไรในชีวิตทุกข์ลำเค็ญ

พวกมันอาจกำลังยิ้มให้กันเสียด้วยซ้ำ

แต่แล้วเพียงเสี้ยววินาทีถัดมา พวกมันก็ถูกทิ้งให้อยู่ข้างหลังโน้น โพ้นออกไป เหลือเพียงร่างสีดำสองร่างที่นอนนิ่งอยู่บนถนนสีเทา

เมื่อเพื่อนคนนั้นทำให้รถเปอโยต์อายุหกขวบคันนี้พุ่งไปด้วยความเร็วสูงสุดที่มันไม่เคยเร่งถึงมาก่อน ด้วยความเร็ว 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ครั้งแรกในชีวิตของผม

ในเวลานั้น-ผมจึงรู้…ถ้าหมาดำตัวนั้นวิ่งมาอีกครั้ง

ผมอาจต้องตายไปกับมัน


นิสสัน เซนทรา

ผมชอบขับรถ

เมื่อแรกขับรถในกรุงเทพฯ ใหม่ๆ ผมยืมนิสสันเซนทราของน้องสาวมาขับ ผมคลั่งการขับรถมากถึงขั้นชอบรถติด

ไม่รู้อย่างไร ผมชอบอยู่ในรถ ชอบนั่งอยู่หลังพวงมาลัย และชอบฟังเพลงในรถ

ในเวลานั้น ผมไม่รู้หรอกครับ ว่าการอยู่ในรถนานๆทำให้คนอื่นแทบคลั่งขนาดไหน ผมชอบพาคนที่นั่งรถไปด้วยเข้าสู่ถนนที่ติดขัดสาหัส เพียงเพื่อจะได้เปิดเพลงฟังและนั่งสบายอารมณ์อยู่ในรถเป็นเวลานานๆ

วันหนึ่ง แม่นั่งรถไปด้วย และเกิดปวดศีรษะขึ้นหลังจากผมพารถเข้าสู่ถนนที่ติดขัดอีกครั้ง

แม่ต้องล้มตัวลงนอนที่เบาะหลัง

ตอนนั้นเพลง Why Worry ของ Dire Straits-ฟังไม่เพราะ

และผมรู้สึกว่ารถติดมากผิดปกติ


แวเลียนท์

จำได้ว่าแรกหัดขับรถตอนมัธยมต้น ทำอย่างไรก็ขับไม่เป็น ไม่ว่าจะให้ใครมาสอน ตั้งแต่พ่อ เพื่อนพ่อ ไปจนถึงเพื่อนของตัวเอง ตั้งแต่หัดขับที่ลานกว้าง บนถนนโล่ง หรือกระทั่งในบ้าน

จะให้เป็นได้อย่างไรล่ะครับ ในเมื่อรถคันที่พ่อเอามาให้หัดขับนั้นเป็นรถอเมริกันแก่งั่กยี่ห้อแวเลียนท์คันเท่าบ้าน

มันเป็นรถคันใหญ่โตมโหฬารที่มีเกียร์ออโต้ติดอยู่ตรงพวงมาลัย

แค่เข้าเกียร์ยังลำบาก แล้วจะให้ผมบังคับแวเลียนท์คันนั้นไปไหนต่อไหนได้อย่างไร

วันหนึ่ง ขณะพยายามลองถอยรถพร้อมกับหมุนคลื่นวิทยุหาเพลง ผมจึงถอยเจ้าแวเลียนท์ไปครูดเข้ากับเสารับสัญญาณโทรทัศน์ของบ้าน ทำให้บั้นท้ายของรถแก่งั่กคันนี้เสียโฉมไป

ผมไม่รู้เหมือนกันว่านี่เป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อเอาเจ้าแวเลียนท์คันนี้ไปแปรโฉมใหม่หรือเปล่า กล่าวคือจากเดิมที่มันเป็นรถเก๋งสี่ประตูธรรมดาๆ พ่อก็เอาไปถอดกระโปรงหลังออก แล้วไปจ้างใครที่ไหนก็ไม่ทราบ มาทำฝาครอบลงไปเหมือนกับฝาครอบรถกระบะเพื่อให้แวเลียนท์คันเก่ากลายเป็นรถแวน!

‘สิ่งประดิษฐ์’ ของพ่อ ยิ่งทำให้ผมไม่กล้าขับแวเลียนท์คันนั้นอีก เพราะนอกจากจะยิ่งขับยากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณแล้ว มันยังดูเป็นรถที่น่าเกลียดที่สุดในโลกอีกด้วย

แถมพ่อยังกำชับอีกว่า

“ต่อไปเวลาขับรถห้ามฟังเพลง!”

แล้วใครจะไปอยากขับ!


ฟอร์ด โฟกัส

“คันนั้นค่ะ” เจ้าหน้าที่รถเช่าชี้มือไปที่รถสีแดงแจ๊ดคันหนึ่งที่จอดสงบอยู่ในลาน

ผมรู้สึกเหมือนมันเป็นรถที่มีสีแดงที่สุดในโลก

“มันแด๊ง…แดงนะพี่” รุ่นน้องคนหนึ่งบอกเมื่อเห็นรถ ฟอร์ด โฟกัส คันนี้ มันจะเป็นพาหนะให้ผมใช้งานในแคลิฟอร์เนียนานกว่าหนึ่งสัปดาห์

ลาร์รี แมคเมอร์ทรี เขียนไว้ในหนังสือ Roads ว่า อะไรจะเป็นอเมริกันมากไปกว่าการขับรถบนถนนไฮเวย์สายยาวที่ทอดผ่านทุ่งนาและภูเขาสนเห็นจะไม่มีอีกแล้ว

ผมจึงคิดว่าตัวเองโชคดี ที่ได้ควบฟอร์ด โฟกัส คันนี้ไปบนฟรีเวย์ตามที่ต่างๆ ตั้งแต่ลองบีช, พาซาดีน่า, ซานตามอนิก้า, ฮอลลีวู้ด, มาลิบู (บนมัลฮอลแลนด์ไดรฟ์-อันเป็นที่จบชีวิตของเจมส์ ดีน!) เลยไล่ไปกระทั่งถึงเวนทูร่าและซานตาบาร์บาร่า

การขับรถในอเมริกาสำหรับผมเป็นเรื่องสนุก สนุกที่ได้ ‘ทำตาม’ กฎเกณฑ์ที่แตกต่างไปจากกฎเกณฑ์ที่คุ้นเคย

เช่น

ถ้าเปิดไฟเลี้ยวจะเลี้ยวซ้าย (อันเทียบเท่ากับเลี้ยวขวาในบ้านเรา เพราะเขาขับรถพวงมาลัยซ้ายกัน) แล้วมีรถมาจอดจ่อรอจะไปตรงอยู่ ถ้ารถคันนั้นหาได้บีบแตรไล่เราก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเจ้ารถคันนั้นมันดันใจร้ายบีบแตรไล่ แล้วมีตำรวจจราจรอยู่แถวนั้น เสร็จครับ!

ตำรวจจะจับเราในข้อหา ‘block traffic’

เพราะเสียงแตรของรถคันนั้นแท้ๆเทียว

ฟอร์ด โฟกัส เป็นรถเช่าดาษดื่น ถ้าจะเปรียบก็คงเหมือนรถโตโยต้าโคโรลล่าบ้านเราที่มีให้เห็นเกลื่อนเมือง แต่รถเช่าคันนี้ได้เปล่งพลังแบบ ‘วิถีอเมริกัน’ ใส่ผม ด้วยว่ามันมีทั้งระบบครุยส์คอนโทรล เบรกเอบีเอส ระบบป้องกันการลื่นไถล แอร์แบ็ก แถมยังมีเครื่องเล่นซีดีให้ผมได้ฟังเพลงของ Lemon Jelly จากแผ่นของเพื่อนเป็นครั้งแรกด้วย

‘รถเช่า’ หรือนี่!

ช่างแตกต่างจากฮอนด้า ซีวิค ที่ผมเคยเช่าขับตอนไปทำงานที่หนองคายราวฟ้ากับดิน

แม้จะเป็นรถใน ‘เกรด’ เดียวกัน

รถสีแดงที่สุดในโลกคันนั้นบอกผมว่า-นี่แหละ อเมริกัน, นี่แหละ เจ้าโลก!


ซาบ 900

ผมเคยขับซาบ 900 บนทะเลสาบที่จับตัวเป็นน้ำแข็งหนา 1 เมตร ทางตอนเหนือของสวีเดน

การขับรถบนผืนน้ำแข็งนั้นยากเย็นยิ่งสำหรับคนที่ไม่ใช่นักขับรถมืออาชีพอย่างผม โดยเฉพาะเมื่อผู้จัดจงใจไม่ใส่ยางที่มีหนามสำหรับขับบนน้ำแข็งโดยเฉพาะให้ด้วย เพราะมั่นใจในสมรรถนะของรถ

แน่นอน ผมขับเป๋ไปปัดมา แต่ถึงกระนั้นก็ยังพยายามรักษารถไว้ไม่ให้พุ่งไปชนกับบังเกอร์น้ำแข็งที่ผู้จัดเตรียมเอาไว้กั้นไม่ให้รถพุ่งออกไปนอกสนาม

ขับได้รอบเดียว ผมก็จอด แล้วขอไปนั่งรถที่นักขับมืออาชีพคนอื่นเขาขับดีกว่า

แล้วผมก็ได้เรียนรู้ว่า นักขับมืออาชีพนั้น เอาเข้าจริงนั่งแล้วหวาดเสียวกว่าการขับเองเสียอีก ด้วยว่าเขาพยายามวาดลวดลายในการขับให้ประทับใจ จึงมีการพุ่งเข้าโค้งด้วยความเร็วเกินร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง

(บนน้ำแข็งนะครับ-ย้ำ บนน้ำแข็ง!)

รถจึงไถลเซถลาเข้าไปชนกับบังเกอร์น้ำแข็งดังโครม!

ยังไม่พอ รถของนักขับรถแข่งชาวสวีเดนอีกคันยังพุ่งตรงเข้ามาหารถคันที่ผมนั่งอยู่อีกต่างหาก มันสาดโค้งเข้ามาด้วยความเร็วมากกว่าร้อยยี่สิบ-ผมเดา

ไม่รอดแน่!

ในรถเงียบกริบ ไม่มีใครพูดอะไร ทุกสายตาได้แต่มองไปยังรถซาบสีแดงคันนั้นที่กำลังพุ่งตรงใกล้เข้ามาทุกทีๆ

แต่แล้วรถคันนั้นก็พุ่งผ่านเราไปสบายๆ เพราะคนขับเป็นนักแข่งรถระดับโลกที่มีชื่อเสียงโด่งดังว่า ‘เลือดเย็น’ ที่สุดในโลก ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นเพียงแค่การ ‘เย้า’ เราเล่นเท่านั้นเอง

ซาบสีแดงคันนั้นพาผมให้ ‘คิดไปเอง’ ว่าเสร็จแน่

ผมชอบความรู้สึกตอนนั้นมาก


ไดฮัทสุ 850

ไดฮัทสุ 850 เป็นรถตู้สีเทาคันเล็กๆ มีเครื่องจิ๋วๆขนาด 850 ซีซี มันเป็นรถที่สอนให้ผมขับรถเป็น จำได้ว่า จากที่หัดขับรถอย่างไรก็ไม่เป็น ผมขับรถเป็นแบบชั่วข้ามคืนได้ด้วยไดฮัทสุ 850 คันนี้เอง

ครูที่โรงเรียนเรียกรถคันนี้ว่ารถกระป๋อง ค่าที่หน้าตาของมันช่างเหมือนกระป๋อง เนื้อเหล็กก็บอบบาง แถมยังคันเล็กกระจิ๋วหลิว

แต่เชื่อไหมครับ รถกระป๋องคันนี้บรรทุกคนได้ถึงสิบคน และแม้จะบรรทุกคนถึงสิบคนแล้ว มันก็ยังทำความเร็วได้สูงสุดถึง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นความเร็วที่สูงสุดเต็มเหยียด เร็วไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะหน้าปัดวัดความเร็วมีความเร็วสูงสุดเท่านั้นเอง!

เพื่อนๆ เรียกรถตู้คันนี้ว่า ‘รถตู้มั่วสวาท’ ค่าที่ผมมักจะพาเพื่อนๆ ซึ่งมีสาวๆ หนุ่มๆ ไปเที่ยวที่นั่นที่นี่กันเสมอ ดูเผินๆ รถคันนี้จึง ‘มั่ว’ เหลือหลาย แต่ก็เป็นรถตู้คันนี้นี่เอง ที่ทำให้ทั้งครูทั้งนักเรียนมา ‘มั่ว’ อยู่กับผมจนแทบจะเกิดเป็นภาคีรถตู้ขึ้นทุกเสาร์อาทิตย์

เพลงประจำรถตู้คันนี้ดูเหมือนจะเป็นเพลงของพี่เบิร์ดเพลงหนึ่งที่ผมจำชื่อไม่ได้เสียแล้ว แต่มีเนื้อหาว่าด้วยการอยู่ร่วมกันของคนที่มีอะไร ‘คล้ายๆ’ กัน…

ผมเลิกใช้รถคันนี้เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย

และแทบไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนๆผู้ร่วม ‘มั่ว’ อีกเลย

แต่ละคนแยกย้ายกันไปตามวิถีทางของตัวเอง และเมื่อวันเวลาผ่านไป พวกเราก็ ‘ต่าง’ กันจนแทบไม่มีเรื่องให้พูดคุย-เมื่อกลับมารวมกันอีกครั้ง


มิตซูบิชิ

รถตู้ยี่ห้อมิตซูบิชิคันนั้นมีสีแดง

มันเป็นรถพวงมาลัยขวาที่ผมต้องใช้ขับพาคณะพรรคสี่ชีวิตตะลุยออสเตรเลียตะวันตก

ดินแดนออสเตรเลียตะวันตกเป็นที่ราบกว้างไกลสุดสายตา มันกว้างจนแลดูอ้างว้าง และคล้ายกับรถตู้เล็กๆคันนี้เป็นรถเพียงคันเดียวในโลกที่แล่นอยู่บนถนนสายตรงพาดผ่านไปสู่เส้นขอบฟ้า

ชั่วโมงหนึ่งจึงจะมีรถสวนมาสักคัน

ในแต่ละวัน ผมต้องขับรถตู้คันนั้นไม่ต่ำกว่า 500-600 กิโลเมตร เพื่อพาตัวเองและคณะพรรคไปยังจุดหมายปลายทางซึ่งจองที่พักเอาไว้แล้ว

ผมรู้ชะตากรรมตัวเองอยู่แล้วว่าจะต้องขับรถมากมายขนาดนั้น ผมจึงเตรียมเทปเพลงมาฟังมากมาย

รถเช่าในออสเตรเลียต้องมีวิทยุแน่-และวิทยุก็ต้องมีช่องใส่เทปอยู่แล้ว ผมเชื่ออย่างนั้น

ความเชื่อทำให้ผมช็อก เมื่อขึ้นนั่งหลังพวงมาลัยรถ แล้วพบว่าในรถไม่มีอะไรสักอย่าง ทั้งวิทยุทั้งเครื่องเล่นเทป

หนทางยาวไกลและเป็นทางตรงเดี่ยวโดดนั้น จึงชวนให้ผมโดดเดี่ยวยิ่งขึ้น เมื่อต้องขับรถพาคณะพรรคที่คอพับคออ่อนนอนหลับกันแทบจะทันทีที่ขึ้นรถผ่านไปบนที่ราบอันกว้างใหญ่และอ้างว้าง

นอกจากจะรู้สึกราวกับเป็นรถตู้เพียงคันเดียวในโลกแล้ว เมื่อพระอาทิตย์ตก แสงเฉียงๆตกต้องดอกไม้ป่าสีม่วงที่บานอยู่ริมทาง ยังทำให้ผมรู้สึกคล้ายเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่บนโลกด้วย

เป็นความอ้างว้างบนที่ราบอันสงบนิ่งไร้สิ่งเคลื่อนไหว

เวลานั้น ผมอดนึกขอบคุณรถตู้สีแดงคันนี้ไม่ได้ที่ไม่มีเพลงให้ฟัง มิฉะนั้น ผมอาจไม่มีวันได้รู้จักความรู้สึกอ้างว้างเยี่ยงนั้น

ถึงวันนี้ ผมยังไม่เคยรู้สึกอ้างว้างมากขนาดนั้นอีกเลย…


พลีมัธ วอยยาจเจอร์

ตอนที่เพลง Let it be ของเดอะบีทเติลส์ ดังขึ้นในรถพลีมัธสีแดงก่ำคันนั้น ผมอดร้องคลอตามเบาๆไม่ได้

คนขับจึงเปิดเพลงให้ดังขึ้น แล้วหันมายิ้มให้ผม

ผมจำพลีมัธสีแดงก่ำคันนั้นได้ดี เพราะมันเป็นพาหนะพาผมไปรู้จักกับเรื่องราวต่างๆในเมืองหลุยส์วิลล์ของรัฐเคนตั๊กกี้ ตั้งแต่สุสานกลางเมืองที่สวยจนแทบลืมหายใจไปจนถึงฟาร์มม้าหญ้าเขียวกว้างไกลสุดสายตา และโรงงานผลิตเหล้าเบอร์เบิ้นชวนเมาหลายต่อหลายแห่ง

ที่จริงรถคันนี้ไม่มีเรื่องเล่า

มันเป็นแค่รถธรรมดาคันหนึ่งที่พาคนธรรมดาๆคนหนึ่ง เดินทางไปในดินแดนแห่งหนึ่ง ในคืนวันที่ผ่านมาแล้วนานแสนนาน

ผมเพียงแต่นึกถึงเพลง Let it be เพลงนั้น และรอยยิ้มสว่างไสวรอยนั้นเท่านั้น

ทุกวันนี้ เปอโยต์ 505 สีเขียวคันนั้นถูกขายให้กับเต๊นท์รถ มันจะสาบสูญไปที่ไหน ผมก็สุดปัญญาจะรู้, นิสสัน เซนทรา ยังรับใช้น้องสาวของผมอยู่, แวเลียนท์คงกลายเป็นเศษเหล็กไปแล้ว, ฟอร์ด โฟกัสสีแดงที่สุดในโลกคันนั้น ก็คงรับใช้ผู้คนในฐานะรถเช่าต่อไป, ซาบ 900 อาจถูกทำลายไปแล้วเพราะมันเป็นแค่รถทดสอบ, ไดฮัตสุ 850 หายสาบสูญไปกับเวลา, และผมคงตอบไม่ได้ ว่าพลีมัธวอยยาจเจอร์ กับมิตซูบิชิรถตู้คันนั้น บัดนี้อยู่ที่ไหน

ผมเพียงรู้สึกกับรถแต่ละคัน เหมือนที่รู้สึกกับคนแต่ละคนที่ได้พานพบในระหว่างการเดินทางของชีวิต

และรู้ว่า-ไม่ว่าเราจะผูกพันกับใคร, หรืออะไร, มากแค่ไหน-ไม่ว่าเราจะขับรถมามากคันเพียงใด เดินทางมามากมายเพียงไหน รู้จักผู้คนมากมายเพียงไร แต่เมื่อถึงเวลา เราก็ต้องปล่อยให้มัน Let it be ไปเสมอ

ผมจึงคิดถึงพลีมัธ วอยยาจเจอร์ คันนั้นเป็นพิเศษ

เพราะมันสอนผมมากกว่ารถคันอื่น…เล็กน้อย