ในวัยสามสิบ วันจะยาวนาน แต่ปีจะแสนสั้น

ไม่รู้เหมือนกัน ว่าตัวเองผ่านวัยสามสิบ (30s) มาได้อย่างไร

ในวัยสามสิบ วันจะยาวนาน แต่ปีจะแสนสั้น แต่ละวันกว่าจะผ่านไปได้นั้น แสนเหนื่อยไปกับการทำงาน การเจรจาต่อรองกับผู้คน แต่เมื่อโงหัวขึ้นมาอีกที เทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ก็ผ่านเข้ามาแล้ว ปีหนึ่งๆจึงผ่านไปคล้ายการกะพริบตา

ในวัยสามสิบกลางๆถึงปลายๆ ผมคิดถึงความตายบ่อยครั้งมาก เพื่อนคนอื่นๆก็คิดเรื่องความตายบ่อยครั้งเช่นกัน การคิดเรื่องความตายตอนอายุสามสิบ คือความพิศวงสงสัยว่าความตายจะเป็นอย่างไร บางแวบอาจมีความหวาดกลัวเกิดขึ้น แต่สิ่งสำคัญก็คือ ผมคิดว่าการคิดถึงความตายเป็นเพราะเราเกิดสำนึกสำคัญอย่างหนึ่งขึ้น นั่นคือสำนึกที่ว่าชีวิตเปราะบางมากๆ เราอาจไม่ได้กลัวตาย แต่เรากลัวความเปราะบางนี้ต่างหาก

ถ้าเราดูการใช้งานเฟซบุ๊คดีๆ เราจะเห็นว่ามีคนเขียนถึงชีวิตของตัวเองในวัยสามสิบกันมาก บางทีอาจจะมากกว่าคนในวัยอื่นก็ได้ แน่นอน-นั่นไม่ได้บอกอะไร เพราะคนที่สูงวัยกว่านี้อาจพึงใจในการคุยกันอยู่ในกรุ๊ปไลน์ ขณะที่เด็กอายุน้อยกว่านี้ก็อาจฝังตัวอยู่ในโลกชั่วคราวชื่อสแน็ปแชต ทำให้เฟซบุ๊คเป็นแหล่งรวมคนวัยสามสิบ เราเลยเห็น reflection หรือการครุ่นคำนึงถึงวัยของตัวเองบ่อยกว่าวัยอื่น

อย่างไรก็ตาม เมื่อได้พูดคุยกับคนวัยสามสิบ สี่สิบ และห้าสิบ ผมพบว่าแทบทุกคนมีสุ้มเสียงและแววตาที่แสดงให้เห็นความไม่แน่ใจในชีวิตและการทำงาน ทั้งในปัจจุบันและอนาคตกันเป็นจำนวนมาก

ที่จริงก็เป็นไปได้ว่า คนอายุหกสิบเจ็บสิบหรือกว่านั้นก็อาจหวั่นไหนไม่น้อย แต่คนเหล่านี้น่าจะเป็นกลุ่มที่เก็บอาการมากกว่ากลุ่มอื่น (และอาจเพราะไม่ค่อยใช้สื่อออนไลน์ด้วย คนกลุ่มอื่นๆเลยไม่ค่อยสังเกตเห็น) และหลายคนมีฐานต่างๆที่สั่งสมมาตลอดชีวิต จึงอาจไม่กลัวเท่าไหร่ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ พวกเขาเป็นกลุ่มที่มี legacy แล้ว เพียงแต่พอเผชิญหน้ากับโลกใหม่ เลยไม่แน่ใจว่าตัวเองจะรักษา legacy เพื่อส่งต่อได้หรือไม่ แต่กลุ่มอื่นๆยังอยู่ในช่วงวันที่ต้องพยายามสร้าง legacy ในโลกอันแปรปรวนนี้ เลยอาจแสดงความหวั่นไหวมากกว่า

ในฐานะคนที่อยู่ตรงกลางๆของคนแทบทุกวัย (คุณคงเดาออกละน่า-ว่าผมอยู่ในวัยไหน!) จึงอยากให้กำลังใจคนทุกกลุ่ม ว่าในยุคสมัยที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างยากจะคาดเดานี้ ไม่มีใครหรอกครับที่สามารถยึดมั่นอยู่กับฐานอันมั่นคงได้อย่างมั่นใจว่ามันจะอยู่คงทนสถาพรเหมือนที่เคยเป็นมาในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองอีกแล้ว

ดังนั้น ในช่วงเวลาที่ความเปราะบางอาจเป็นนิยามของโลกทั้งภายนอกและภายใน ผมจึงอยากบอกคุณว่า-จะทำอะไรก็ทำเถอะครับ ขอให้สิ่งที่ทำนั้นเป็นเรื่องที่มี ‘แก่น’ จากความคิดความเชื่อของตัวเองอย่างแท้จริงเท่านั้น เรื่องยากสำหรับคนจำนวนมากก็คือ ไม่รู้ว่า ‘อย่างแท้จริง’ ของตัวเองคืออะไร แต่ในอีกด้านหนึ่ง หากได้ทดลองอย่างหลากหลาย ที่สุดเราก็อาจค้นพบ

โลกข้างหน้าซับซ้อนและอยู่ยากขึ้นในแทบทุกมิติ ทั้ง ‘ความออนไลน์’ ที่กำลังปะทะกับ ‘ความอำนาจนิยม’ และ ‘ความชนชั้นนิยม’ ในท่ามกลาง ‘ความภัยธรรมชาติ’ การเปลี่ยนแปลงแปรปรวน อะไรๆที่เคยม่ันคงจึงไม่คงมั่นอีกต่อไปแล้ว

แทนที่จะกลัว มาเรียนรู้เพื่อ ‘สนุก’ ไปกับมันกันเถอะครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนๆ ทั้งเรื่องของชีวิต,

และกระทั่งเรื่องของความตาย