The Dig หนังดีที่ว่าด้วยการขุดค้นทางโบราณคดี

หนังที่มีชื่อว่า The Dig อาจฟังดูไม่น่าดูเท่าไหร่ แต่ปรากฏว่านี่เป็นหนังที่ดีมากเรื่องหนึ่ง

มันสร้างจากนิยายอิงประวัติศาสตร์ของ John Preston ซึ่งอิงเรื่องจริง เป็นเรื่องของการขุดค้นทางโบราณคดีในปี 1939 ที่ซัฟโฟล์คในอังกฤษ ขณะใกล้จะเกิดสงครามโลกครั้งที่สองอยู่รอมร่อ

หนังเรื่องนี้ทำให้ได้เห็นอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างมากที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีคนทำหนังแบบนี้ออกมา

อย่างแรกสุดเลยก็คือ – นี่เป็นหนังเกี่ยวกับการขุดค้นทางโบราณคดีจริงๆ เข้มข้น จริงจัง และเน้นไปที่เรื่องของการขุดค้นนั้นโดยตรง แต่กลับทำออกมาได้ดึงดูดใจ ชวนติดตามตลอดเวลา

แม้ว่าทั้งหมดจะเรียบง่าย นิ่งงัน ทว่าก็เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้ในแบบนักแสดงอังกฤษ ซึ่งในระยะหลังไม่ค่อยได้เห็นอะไรแบบนี้ บทก็ลึกมากเหลือเกิน โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยเรื่องราวความรักโรแมนติกของตัวละครมานำเรื่องเลย เรื่องนำไปด้วยการขุดค้นแท้ๆ เพียวๆ แต่ทำออกมาได้ดีงามอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน

นักแสดงนำคนหนึ่ง คือราล์ฟ ไฟน์ส บอกว่า หนังเรื่องนี้ “not clouded by love or romance.” คือไม่มีเรื่องความรักหรือโรแมนซ์ใดๆ มาบดบังมันเลย และก็เป็นเช่นนั้นจริง คือในหนังมีเรื่องราวของความรักอยู่เป็นซับพล็อต ทว่าเป็นไปก็เพื่อขับเน้นพล็อตใหญ่ที่ว่าด้วยโบราณคดีและการผ่านผันไปของกาลเวลา จนทำให้เกิดความสะทกสะเทือนใหญ่ได้ในตอนจบ

[ต่อไปนี้มีสปอยล์]

การขุดค้นที่ว่านี้ เป็นการค้นพบสำคัญมากๆ โดยตัวละครสำคัญมีอยู่สองคน คนแรกคือ อีดิธ เพร็ตตี้ (Edith Pretty) ที่ตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ (แสดงโดย Carey Mulligan) เธอกับสามีซื้อที่ดินในซัฟโฟล์คผืนหนึ่ง เพราะที่ดินนั้นมี ‘มูนดิน’ (ซึ่งจริงๆ มีปรากฏอยู่หลายแห่งในอังกฤษ) อยู่หลายจุด

มูนดินหนึ่งที่เธออยากรู้มาก ก็คือมูนดินที่มีรูปร่างเป็นวงรี ไม่ได้เป็นมูนดินทรงกลมเหมือนจุดอื่น เธอจึงให้ เบซิล บราวน์ (แสดงโดย Ralph Fiennes) ซึ่งเป็นนักโบราณคดีสมัครเล่น ไม่ได้ไปเรียนที่ไหนมา แต่เขาเรียนรู้จากพ่อและปู่ของตัวเอง

“ผมรู้จักดินในซัฟโฟล์คทั้งหมด” เขาบอก และบอกว่าหากหยิบดินซัฟโฟลค์มากำมือหนึ่ง เขาจะบอกได้เลยว่ามาจากที่ดินของใคร – นั่นคือความเชี่ยวชาญชำนาญของเขา

ทั้งอีดิธและบาซิลไม่รู้หรอกว่า สิ่งที่ตัวเองกำลังขุดค้นอยู่นั้นมันคืออะไร แต่บาซิลสงสัยตั้งแต่แรกว่า มันจะเก่าแก่กว่าที่ทุกคนคิด ทุกคนคิดว่ามันน่าจะเป็นหลุมศพหรือสมบัติของไวกิ้ง แต่เขาคิดว่ามันน่าจะอยู่ในยุคแองโกลแซกซอน

แล้วการขุดค้นก็กลายเป็นเรื่องใหญ่

เมื่อข่าวแพร่ออกไป จากที่หลุมขุดค้นจะมีความสำคัญแค่ระดับพิพิธภัณฑ์ในอิปสวิช ก็กลายเป็นมันทวีความสำคัญถึงระดับที่บริติชมิวเซียมต้องส่งคนมาช่วยขุดค้น ซึ่งก็ก่อให้เกิดปัญหากับ ‘นักโบราณคดีโนเนม’ ที่ไม่มีปริญญาอย่างบาซิล

หนังเล่าทุกปมความขัดแย้งในจิตใจ เล่าทุกเรื่องราวความสัมพันธ์แบบอังกฤษที่สุด นั่นคือเรียบนิ่ง บทสนทนาน้อย – แต่ไม่น้อยเกินไป, มันเปิดเผยทุกสิ่งที่ควรเปิดเผย

การที่ภรรยาของบาซิลเรียกเรือว่า Your old gal มีนัยบ่งชี้ไปถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง ทั้งยังมีคู่สามีภรรยานักโบราณคดีอื่นที่มีปัญหาในชีวิตคู่ ซึ่งบ่งบอกย้อนกลับไปถึงโครงสร้างสังคมอังกฤษยุคนั้นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศด้วย

ที่สำคัญก็คือ หนังดึงเอาเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สองมาใช้ได้อย่างเหมาะเจาะ มันปลุกความรักชาติได้อย่างที่ไม่น่าจะมี ‘หนังปลุกใจ’ เรื่องไหนเคยคิดถึงมาก่อน เพราะเรียบนิ่ง สูงสง่า และเต็มไปด้วยความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเนื้อหา

ใครจะคิดเล่า – ว่าโบราณคดีที่ย้อนเวลาไปนับพันหมื่นปี จะเกี่ยวข้องลึกซึ้งกับการหายลับไปของผู้คนในปัจจุบัน ทั้งยังเกี่ยวข้องลึกซึ้งกับดวงดาวบนท้องฟ้า ผ่านกล้องโทรทรรศน์ ความกระตือรือร้นของเด็กชาย และพร่างพรายของดวงดาวที่ใครบางคนอาจได้เห็นเป็นครั้งสุดท้าย

เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองมาถึง การขุดค้นต้องยุติลง แต่พวกเขาทำงานได้ทัน สมบัติทั้งหมดปลอดภัยอยู่ในอุโมงค์รถไฟใต้ดินของกรุงลอนดอน และปัจจุบัน มันคือนิทรรศการถาวร Sutton Hoo ในบริติชมิวเซียม

ต้องชื่นชม Simon Stone ผู้กำกับมากๆ เขาเป็นผู้กำกับชาวออสเตรเลียที่เคยทำหนังเรื่อง The Daughter มาก่อน ถ้าเข้าใจไม่ผิด The Dig น่าจะเป็นหนังเรื่องที่สองของเขาเท่านั้นเอง แต่ก็ยอดเยี่ยมเหลือเกิน

ที่ชอบมากๆ คือการตัดสินใจใส่เรื่องราวทางโบราณคดี เช่นการค้นพบเหรียญเมโรวินเจียนเข้ามาในหนังด้วย – โดยไม่ต้องอธิบายอะไรให้รุงรังเยิ่นเย้อ

มีอยู่สองประโยคในหนัง ที่ใส่เข้ามาอย่างได้จังหวะมากๆ คือประโยคของบาซิล บราวน์ ที่บอกว่า “นับตั้งแต่ฝ่ามือแรกที่ประทับลงบนผนังถ้ำ เราก็รู้ว่าเราคือส่วนหนึ่งของบางสิ่งที่ต่อเนื่องยาวนาน”

แต่ในขณะเดียวกัน อีดิธ เพร็ตตี้ ผู้ป่วยไข้และรู้ว่าเธอจะจากไปในอีกไม่นาน – ก็บอกด้วยว่า “ชีวิตนั้นหลีกลี้หนีเราไป ฉันได้เรียนรู้เรื่องนี้แล้ว จึงมีช่วงขณะบางอย่าง ที่เราควรยึดฉวยมันเอาไว้”

การขุดค้นทางโบราณคดีอาจฟังดูน่าเบื่อหน่ายหาวเรอสำหรับบางคน แต่ ‘ความจริง’ ของเรือโบราณอันแสนบอบบางที่ซุกซ่อนอยู่ใต้ดินนั้น – กำลังบอกเราถึงการไหลรี่ของเวลาในแบบที่เราไม่อาจยื้อยุดเอาไว้ได้

และในอีกพันปีข้างหน้า – ก็จะไม่เหลือแม้อณูใดในร่างของเราต่อไปอีก ไม่ว่าเราจะเป็นราชา ราชินี ในหลุมศพโบราณที่ถูกโปรยปรายด้วยเหรียญและสมบัติอันมีค่ากลบหน้า หรือไพร่ทาสสามัญธรรมดาผู้ขุดหลุมเหล่านั้นก็ตามที