ถ้ามีคนถามว่า ‘นางใน’ หรือ Mistress คนไหน ‘ร้าย’ ที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ เชื่อว่าหลายคนจะตอบด้วยชื่อเดียวกัน
ชื่อนั้นก็คือ บาร์บารา วิลลิเยอร์ส (Barbara Villiers) หรือยังมีอีกสองชื่อที่โด่งดัง คือ บาร์บารา พาล์มเมอร์ (Barbara Palmer) และเลดี้แคสเซิลเมน (Lady Castlemaine)
หลายคนอาจงง ว่าคนคนนี้คือใคร และเป็นนางในหรือนางสนมของกษัตริย์องค์ไหนกันแน่ คำตอบก็คือ บาร์บาราเป็นนางในของกษัตริย์ชาลส์ที่ 2 (Charles II) ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่เคยถูกเนรเทศในยุคที่เกิดสงครามกลางเมืองอังกฤษ (English Civil War) จนทำให้อังกฤษเป็นสาธารณรัฐและอยู่ใต้ปกครองของโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ แต่แล้วเมื่อการเมืองผันผวน ก็ได้กลับมาปกครองประเทศอีกครั้ง เรื่องนี้มีรายละเอียดซับซ้อน หากใครอยากรู้เพิ่มเติมต้องไปหาอ่านเอาเอง เพราะเรื่องที่จะพาคุณย้อนเวลากลับไปรับรู้นั้น ‘แซ่บ’ กว่าเรื่องอังกฤษเป็นสาธารณรัฐเยอะ
มันคือเรื่องชู้สาว ความมักมาก และรักที่ล้นเหลือเฟือฟายของกษัตริย์ชาลส์ที่สอง ที่ว่ากันว่าเป็นกษัตริย์ที่มีสนมนางในเยอะที่สุดคนหนึ่งของอังกฤษ หลายคนก็โด่งดังเหมือนกัน เช่น เนล กวินน์ (Nell Gwynn) หรือมอล เดวิส (Molly Davis) แต่คนที่ ‘แสบ’ ที่สุด และอยู่กับกษัตริย์มายาวนานที่สุด ก็คือบาร์บารา วิลลิเยอร์ส นี่เอง
(ที่น่าสนใจและอยากเล่าแถมเอาไว้ก็คือ นอกจากชาลส์ที่สองจะเป็นกษัตริย์มักมากในนางในแล้ว ในยุคสมัยของพระองค์ ลอนดอนยังต้องเผชิญกับภัยร้ายทุกข์ยากแสนสาหัสติดๆ กันถึงสองเรื่อง เรื่องแรกคือเกิด ‘โรคระบาดใหญ่’ เรียกว่า The Plague ในปี 1665 และไฟไหม้ใหญ่ลอนดอนหรือ The Great Fire of London ในปี 1666)
บาร์บาราเกิดในปี 1640 ในครอบครัววิลลิเยอร์ส ซึ่งก็เป็นขุนนางระดับสูงนี่แหละ แต่พอกษัตริย์ชาลส์ที่หนึ่งถูกสังหาร ประเทศเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐแล้ว ทั้งครอบครัวก็ยากจนลง แต่ก็ยังจงรักภักดีไม่เสื่อมคลาย ชาลส์ที่สอง (ซึ่งในตอนนั้นเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์) ต้องหนีไปอยู่ที่กรุงเฮก แต่เมื่อไหร่ถึงวันเกิดของชาลส์ ครอบครัววิลลิเยอร์สก็จะลอบลงไปในห้องใต้ดินเพื่อดื่มอวยพรให้ชาลส์เสมอ
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่บาร์บาราจะได้พบกับชาลส์ที่สอง เธอได้แต่งงานไปเสียก่อนในวัยเพียง 19 ปี โดยแต่งงานกับโรเจอร์ พาล์มเมอร์ (Roger Palmer) ซึ่งก็เป็นขุนน้ำขุนนางระดับสูงอีกคนหนึ่ง แต่ก่อนแต่งงาน พ่อของพาล์มเมอร์เตือนเขาว่าถ้าแต่งงานแม่สาวคนนี้แล้วละก็ เขาน่าจะต้องเป็นทุกข์มากๆ ทีเดียว
แล้วคำทำนายนี้ก็ถูกต้อง!
บาร์บาราเป็นผู้หญิงสวย นักบันทึกพงศาวดารอย่าง ซามูเอล เปปิส เคยบันทึกถึงเธอในช่วงแรกๆ เอาไว้ว่า – เขาไม่เคยชื่นชมความงามของเธอได้มากพอเลย, นั่นเพราะเธอสวยเหลือเกิน แต่ต่อมาเมื่อได้พบเห็นวีรกรรมของเธอ เขาก็เปลี่ยนมาบันทึกว่า I know well enough she is a whore หรือ – ข้าพเจ้ารู้ดีมากพอแล้วว่า หล่อนน่ะเป็นกะหรี่
อะไรทำให้ชื่อเสียงของบาร์บาราเป็นไปได้ถึงเพียงนี้?
หลังเธอแต่งงานกับพาล์มเมอร์ (แล้วได้ชื่อว่า บาร์บารา พาล์มเมอร์) ได้ไม่ทันครบปี เธอกับสามีก็ได้ไปเข้าเฝ้าชาลส์ซึ่งอยู่ที่กรุงเฮกเพราะโรเจอร์ไปด้วยงานการทูต ตรงนั้นแหละ ที่ประกายสปาร์คแห่งไฟรักมันลุกโชนขึ้น ว่ากันว่า ทันทีที่ชาลส์ได้เห็นบาร์บารา เขาก็หลงรักเธอทันที บาร์บาราก็คิดแบบเดียวกัน เธออยากจะยุติการแต่งงานกับสามีให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้มาเป็นชู้รักกษัตริย์
เมื่อชาลส์ได้กลับมาครองบัลลังก์อีกครั้งในปี 1660 ว่ากันว่าคืนแรกในลอนดอน เขาใช้เวลาอยู่กับบาร์บารา และนับแต่นั้นมาก็แทบไม่ได้พรากจากกันเลย แต่กระนั้น บาร์บาราก็ยังไม่ได้เลิกกับสามี
เมื่อบาร์บาราคลอดลูกคนแรก คือแอนน์ ในปี 1661 เอาเข้าจริงเธออาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแอนน์เป็นลูกใคร แต่ประเด็นที่ชวนพิศวงมากสำหรับคนปัจจุบันเมื่อมองย้อนกลับไปก็คือ ทั้งกษัตริย์อย่างชาลส์และสามีเก่าอย่างโรเจอร์ ต่างก็แย่งชิงจะอ้างสิทธิว่าลูกคนนั้นเป็นลูกของตัวเองด้วยกันทั้งคู่
ที่เจ๋งไปกว่านั้นก็คือ กษัตริย์ไม่ได้จับโรเจอร์ไปตัดหัวขั้วแห้งอะไร แต่กลับ ‘อวยยศ’ ให้โรเจอร์ด้วย คือให้เขาได้เป็น First Earl Castemaine เพื่อเป็นการชดเชยที่ได้ ‘ขโมย’ เมียของเขาไป แต่โรเจอร์ไม่เคยใช้ตำแหน่งนี้เลย และเขาก็เชื่อว่า อย่างน้อยที่สุด แอนน์คือลูกสาวของเขาไปจนถึงวันตาย และทำพินัยกรรมยกสมบัติทุกอย่างให้กับแอนน์
สถานะ ‘ชู้กษัตริย์’ ของบาร์บารานั้น ดำเนินไปเรื่อยๆ แม้แต่เมื่อชาลส์ที่สองต้องสมรสจริงๆ กับผู้ที่จะมาเป็นราชินีตัวจริง คือกับเจ้าหญิงแคทเธอรีนแห่งบรากันซา (Catherine of Braganza) ที่มาจากโปรตุเกสในปี 1662 บาร์บาราก็ ‘ไม่ยอมลง’ ให้กับควีนคนใหม่ ตามธรรมเนียม ทุกบ้านต้องจุดไฟตามประทีปต้อนรับ แต่บาร์บาราปิดไฟเงียบ และตอนนั้น เธอก็กำลังตั้งท้องลูกของชาลส์อยู่ด้วย ลูกคนนี้คลอดหลังจากแคทเธอรีนมาถึงลอนดอนได้ไม่ถึงเดือน
ที่แสบยิ่งกว่าแสบก็คือ มีคนไปกราบทูลควีนแคทเธอรีนว่า ยายคนนี้มันคืองูพิษ เป็นชู้กับกษัตริย์มาก่อนควีนแต่งงานด้วยซ้ำ ควีนจึงพยายามจะกำจัดเธอออกไปจากราชสำนักทุกวิถีทาง แต่บาร์บารานั้นเหนือชั้นกว่ามาก เธอคงถือคติว่า ‘จงเก็บศัตรูไว้ใกล้ตัว’ ดังนั้นจึงไปเพ็ดทูลชาลส์ว่า ขอให้ได้รับใช้ใกล้ชิดควีนดีกว่า ชาลส์เลยพระราชทานตำแหน่ง Lady of the Bedchamber ซึ่งก็คือการเป็นนางสนมประจำห้องบรรทมของควีนให้กับเธอ ทำให้บาร์บาราได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดควีนตลอดเวลาในฐานะหนึ่งในนางสนมกำนัลอย่างเป็นทางการ
เรื่องนี้ทำให้ควีนแคทเธอรีนสะพรึงกลัวและขนลุกขนชันอย่างยิ่ง เมื่อได้รู้ว่านางในคนโปรดของพระสวามี สามารถรุกคืบเข้ามาในชีวิตของเธอได้อย่างใกล้ชิดขนาดนี้!
เรื่องทำนองนี้อาจฟังดูแปลกในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด แต่ในยุคโน้น การแต่งงานของคนในราชสำนักไม่ได้เป็นไปเพื่อเรื่องเพศอย่างเดียว มันเป็นเรื่องเชิงการเมือง การผูกสัมพันธ์ระหว่างแผ่นดินโน้นกับแผ่นดินนี้ด้วย เพราะฉะนั้น กษัตริย์อาจจะไม่โปรดราชินีของตัวเองก็ได้ แล้วเลยต้องมีนางในคนโปรดทดแทน
บาร์บาราได้แทบทุกสิ่งที่เธอต้องการ ได้ข่มขู่ราชินี ได้อยู่ในราชสำนัก ได้รับเครื่องเพชร อัญมณี และได้ให้จิตรกรหลวงมาวาดภาพเธอเป็นแม่พระ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ลูกของเธอที่เกิดกับกษัตริย์ถึง 5 คน ล้วนได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการทั้งสิ้น โดยทุกคนมีนามสกุลว่า Fitzroy กันหมด ในยุคนั้น ใครนามสกุลนี้จะเป็นที่รู้กันว่าคือลูกนอกกฎหมายของกษัตริย์ แบบเดียวกับนามสกุล Snow ของ จอน สโนว์ ใน Game of Thrones นั่นแหละ
ที่น่าสนใจก็คือ ลูกของบาร์บาราคนหนึ่ง คือดยุคแห่งกราฟตัน ซึ่งเป็นฟิตซ์รอยคนหนึ่ง เป็นต้นตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจนถึงเจ้าหญิงไดอาน่า เจ้าหญิงแห่งเวลส์ที่เราคุ้นเคยกันดีนี่เอง ดังนั้น ถ้าเจ้าชายวิลเลียม โอรสของเจ้าหญิงไดอาน่าได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ก็จะเป็นการนำเชื้อสายพันธุกรรมของบาร์บาราขึ้นครองบัลลังก์ได้เป็นครั้งแรก
คำถามหนึ่งที่ทุกคนถามก็คือ ถ้าบาร์บาราเป็น ‘หญิงร้าย’ ขนาดนั้น ก็แล้วทำไมถึง ‘ได้ดี’ ในสายตาของกษัตริย์ผู้มักมากในนางใน คือทำไมไม่มีหญิงอื่นใดโค่นเธอลงได้ นั่นทำให้หลายคนคิดว่า เธอต้อง ‘ทำของ’ กษัตริย์แน่ๆ
ที่จริงแล้ว บาร์บาราไม่ได้มีกษัตริย์คนเดียวเท่านั้น ถ้ากษัตริย์มีนางในหลายคนได้ เธอก็มีชู้รักหลายคนได้เหมือนกัน เวลาชาลส์ไปยุ่งกับหญิงอื่น เธอก็มีผู้ชายมากหน้าให้ ‘ยุ่ง’ ด้วยเหมือนกัน แล้วไม่ใช่แค่ผู้ชายธรรมดาๆ เท่านั้น แต่เธอยังไปยุ่งเกี่ยวกับบิช็อปหรือ ‘พระ’ อีกต่างหาก
แถมยังเป็นบิช็อปที่ตายไปแล้วอีกต่างหาก!
นี่คือเรื่องที่มี ‘บันทึกข่าวลือ’ เอาไว้หลายแหล่ง ว่าหลังเกิดไฟไหม้ใหญ่ในลอนดอนแล้ว บาร์บาราได้ไปมหาวิหารเซนต์พอล ซึ่งเป็นมหาวิหารที่ฝังศพบิช็อปหรือพระในอดีตเอาไว้ที่ชั้นใต้ดิน ศพเหล่านี้มีจำนวนหนึ่งที่มีลักษณะเป็นมัมมี่หรือไม่เน่าเปื่อย
ปรากฏว่า เมื่อลงไปแล้ว บาร์บาราขอเวลาอยู่ตามลำพัง แล้วเธอก็กระทำ ‘โอษฐกามกิริยา’ กับศพพระรูปหนึ่ง จน ‘จู๋พระ’ ขาดหลุดติดปากออกมา
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นเพียงข่าวลือแบบหนึ่งเท่านั้น ข่าวลืออีกแบบคือ เธอไป ‘ใช้ปาก’ ให้กับพระที่ยังมีชีวิตอยู่นี่แหละ แต่มันเกิดผิดพลาดขึ้นมา อาจไม่ถึงกับกัดขาด แต่ก็น่าจะมีปัญหาจนทำให้ข่าวเล็ดรอดออกมาได้
ส่วนอีกกระแสหนึ่งบอกว่า บาร์บาราไม่ได้กระทำกับศพพระเพื่อเรื่องทางเพศหรอก แต่เธอกัดเอาจู๋พระขาดออกมาเพื่อนำไป ‘ทำของ’ เพื่อให้กษัตริย์หลงรักเธอหัวปักหัวปำต่างหากเล่า
แต่ไม่ว่าเรื่อง ‘ทำของ’ กษัตริย์จะจริงหรือไม่ก็ตาม เรื่องที่เรารู้ก็คือมีคู่แข่งมากมายเข้ามาวอแวกับเธอ แต่เธอก็กำจัดออกไปได้เรื่อยๆ ด้วยวิธีการต่างๆ นั่นทำให้เธอเป็นนางในคนโปรด (แม้ไม่ใช่อันดับหนึ่ง) ไปจนชาลส์สิ้นพระชนม์ โดยตอนตาย เธอก็มายืนเฝ้าอยู่ข้างเตียงกษัตริย์อย่างจงรักภักดี
นักประวัติศาสตร์บางคนพยายามอธิบายว่า ที่บาร์บาราทำอะไรๆ ได้สำเร็จขนาดนี้ เป็นเพราะเธอมี ‘บุคลิก’ ที่ไม่เหมือนใคร เธอก๋ากั่น กล้าได้กล้าเสีย และชีวิตในราชสำนักนั้นไม่ค่อยมีอะไรให้ทำมากนักหรอก นอกจากมีเซ็กซ์กันไปมา ดังนั้น เซ็กซ์เลยเป็นเรื่องสำคัญมากๆ และบาร์บาราก็สามารถใช้เรื่องเพศนี้มาเป็นศูนย์กลางในการสร้างความน่าทึ่งให้กับตัวเองได้ในหลายมิติ
ถ้ามองอีกด้านหนึ่ง นี่จึงคือเรื่องความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ผู้หญิงคนหนึ่งสามารถจัดการและรักษาอำนาจของเธอเอาไว้ได้โดยใช้เครื่องมือเก่าแก่ที่สุดอย่างหนึ่ง – ซึ่งก็คือเรื่องทางเพศนั่นเอง