มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าทึ่ง พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าไม่แน่จริง เราคงอยู่มาไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ ทั้งที่โลกเต็มไปด้วยภยันตรายมากมาย ทั้งจากสัตว์ป่า เชื้อโรคต่างๆ รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่ยุคน้ำแข็งจนถึงการเปลี่ยนภูมิประเทศในแอฟริกา จากป่ากลายมาเป็นทุ่ง
ดังนั้น ถ้าย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ หรือแม้กระทั่งยุคก่อนประวัติศาสตร์ มนุษย์จึงมีวิธีดูแลรักษาตัวให้อยู่รอดปลอดภัยจากโรคภัยและอาการบาดเจ็บต่างๆ มานานแล้ว
หลายคนอาจนึกถึงเรื่องง่ายๆ อย่างเช่นการใช้สมุนไพรในการรักษาตัว เรื่องนี้ต้องยกให้กับชนเผ่าอินเดียนแดงในทวีปอเมริกา ซึ่งพูดได้ว่าเป็นชนเผ่าที่รู้จักสังเกตและใช้ประโยชน์จากธรรมชาติมากที่สุดชนเผ่าหนึ่งก็ว่าได้ พวกเขาคลุกคลีอยู่กับธรรมชาติ จึงเต็มไปด้วยวิธีรักษาตัวที่ใช้สมุนไพรต่างๆ
ตัวอย่างสมุนไพรที่คนปัจจุบันยังคงใช้ตามชาวอินเดียนแดง ก็คือสมุนไพรอย่าง ‘อิคินาเซีย’ (Echinacea) ซึ่งพบมากในอเมริกาเหนือ และมีคุณสมบัติทางยาหลายอย่าง อินเดียนแดงเผ่าต่างๆ ใช้อิคินาเซียในการรักษาตัวหลายแบบ เช่น เผ่าโครว์ ใช้รักษาอาการไข้ ปวดฟัน หรืออาการปวดท้องในเด็ก ชนเผ่าอินเดียนแดงในเดลาแวร์นั้นก้าวหน้ามาก เพราะใช้อิคินาเซียสำหรับรักษาโรคทางเพศอย่างโกโนเรียกันเลยทีเดียว ในขณะที่เผ่าอย่างชุอุกซ์ใช้รกัษาอาการทอนซิลและโรคเกี่ยวกับลำไส้
แต่ก็ไม่ใช่แต่ชาวอินเดียนแดงเท่านั้นที่ใช้สมุนไพร เพราะสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยาคือสิ่งที่มนุษย์ทั่วโลกใช้กันมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์แล้ว มีหลักฐานว่าในอาณาจักรสุเมเรียโบราณ มีบันทึกบนแผ่นดินเหนียวถึงตำรับยาสมุนไพรต่างๆ เช่นเดียวกับอียิปต์โบราณที่ก็บันทึกตำรับสมุนไพรเอาไว้บนกระดาษปาปิรุส พบว่ามีการใช้พืชสมุนไพรมากถึงกว่า 800 ชนิด
แน่นอน จีนและอินเดียเป็นอีกสองอารยธรรมที่มีการใช้สมุนไพรจำนวนมาก อินเดียมีบันทึกอยู่ในพระเวทต่างๆ ส่วนจีนมีบันทึกอยู่ในตำรับยาของราชสำนัก พบมากที่สุดในราชวงศ์ถัง แต่ที่มีการบันทึกกันไว้อย่างเป็นระบบที่สุด เห็นจะต้องยกให้กับกรีกโบราณ คือในราว 400 ปีก่อนคริสตกาล ศิษย์ของอริสโตเติลชื่อเธโอฟราสตุส ได้เขียนตำราว่าด้วยพฤกษศาสตร์และสมุนไพรเอาไว้อย่างเป็นระบบ เป็นการนำทางให้เกิดวิธีรักษาตัวแบบกรีกที่มีลักษณะคล้ายๆ การแพทย์ในปัจจุบัน และตำรับแบบกรีกก็มีการใช้ต่อเนื่องมาจนถึงศตวรรษที่สิบเจ็ด
หลายคนอาจจะบอกว่า สมุนไพรเป็นเรื่องธรรมดา ใครๆ ก็ใช้ ใครๆ ก็เดาได้ว่าก่อนมีการแพทย์ยุคใหม่ สมุนไพรต้องเป็นพระเอกแน่ๆ
แต่คุณรู้ไหมว่า นอกจากสมุนไพรแล้ว มนุษย์เรายังรู้วิธี ‘ผ่าตัด’ กันมาตั้งแต่โบราณด้วย
โดยเฉพาะวิธีผ่าตัดเปิดกะโหลก!
วิธีที่ว่านี้ เรียกว่า Trepanning หรือ Trepanation มันคือการ ‘เจาะ’ กะโหลกของมนุษย์เพื่อเปิดเอากะโหลกออกมา จะได้เข้าไปถึงเยื่อหุ้มสมองได้
แล้วทำไปทำไม คำตอบแบบโบราณๆ หน่อย ก็คือมนุษย์จะเจาะกะโหลกคนที่มีอาการผิดปกติบางแบบ โดยเฉพาะความผิดปกติแบบ ‘ผีเข้า’ เช่น มีอาการชักหือมีพฤติกรรมผิดปกติ ซึ่งเชื่อกันว่าผู้ป่วยเป็นแบบนั้นเพราะมีวิญญาณชั่วร้ายหรือผีร้ายเข้าไปอยู่ในหัว แล้วดลบันดาลให้ทำอะไรแปลกๆ
แม้ฟังดูเป็นไสยศาสตร์ แต่การเจาะกะโหลกแบบนี้กลับช่วยบรรเทาอาการป่วยได้หลายอย่าง (แน่นอนว่าคนที่เสียชีวิตก็มีมากด้วย) โดยเฉพาะคนที่เกิดอาการบาดเจ็บบางประเภทที่ทำให้เลือดคั่งในสมอง รวมไปถึงคนที่มีอาการของโรคลมชักที่เกิดจากรอยแผลในสมอง การเจาะกะโหลกเพื่อระบายเลือดออกมานั้นช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้จริงๆ
นักโบราณคดีขุดพบหลักฐานว่ามีการเจาะสมองด้วยเครื่องมือต่างๆ เก่าแก่ย้อนกลับไปได้ถึงราว 6,500 ปีก่อนคริสตกาล โดยหลักฐานก็คือซากกะโหลกที่มีโพรงเป็นรอยเจาะ ไม่ว่าจะในฝรั่งเศส หรือในอาเซอร์ไบจาน และไม่ได้มีน้อยๆ เพราะในยุคนีโอลิธิก พบกะโหลกที่มีรอยเจาะแบบนี้มากถึงกว่า 1,500 ชิ้น ซึ่งคิดเป็นราว 5-10% ของกะโหลกยุคหินที่พบทั้งหมด ไม่ใช่แค่ในยุโรปเท่านั้น แต่รวมไปถึงไซบีเรีย จีน และกระทั่งในอเมริกาทั้งเหนือและใต้ด้วย และมีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก และมีการทำกันมาเรื่อยๆ จนถึงยุคกลาง และกระทั่งก่อนยุคใหม่ เช่น มีการพบซากกะโหลกที่มีการเจาะในเยอรมนีตะวันตกเฉียงใต้ที่มาจากศตวรรษที่ 6-8 ส่วนในยุคเรอเนสซองส์ พบว่ามีการรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีนี้บ่อยมากจนเรียกได้ว่าเป็นกิจวัตรอย่างหนึ่ง
เครื่องมือที่ใช้ในการเจาะกะโหลกนี้ ถ้าเก่าแก่ก็จะมีความซับซ้อนน้อย อาจเป็นวัสดุแหลมและคม ในยุคหินก็จะเป็นหินฟลินต์หรือหินออพซีเดียน แล้วต่อมาพอถึงยุคโลหะก็จะเป็นเครื่องมือบรอนซ์และทองแดง เชื่อกันว่า คนที่ทำหน้าที่เจาะกะโหลก ก็คือพ่อมดหมอผีประจำเผ่า โดยจะมีวิธีเจาะหลายแบบ เช่น เจาะเป็นรูปสี่เหลี่ยม การค่อยๆ ขูดกะโหลกออก การเจาะคล้ายๆ สว่าน หรือวิธีอื่นๆ ซึ่งก็แน่นอนว่ามีความเสี่ยงมาก โดยเฉพาะความเสี่ยงจากการติดเชื้อ เสียเลือดมากเกินไป กระทบกับสมองจนทำให้เกิดเลือดออกในสมอง
พ้นไปจากการใช้สมุนไพรและการเจาะกะโหลกแล้ว มนุษย์เรายังใช้เวทย์มนต์และ ‘ยา’ ที่ไม่ใช่ยาในความหมายปัจจุบันด้วย เช่น ยาที่พ่อมดหมอผีต้ม อาจจะใส่สมุนไพร ซากสัตว์ หรือส่วนผสมอื่นๆ ลงไป ส่วนใหญ่เป็นการรักษาโดยเชื่อในพลังเหนือธรรมชาติ ซึ่งหากมีผลแบบ ‘ยาหลอก’ (placebo effect) ก็อาจจะทุเลาอาการลงได้ เช่น เคยมียารักษาอาการท้องผูกที่ใช้กันมากในพระราชวังแวร์ซายลส์ โดยมีการเขียนส่วนผสมของยาเป็นภาษาขรึมขลังต่างๆ เช่น ภาษาละติน ภาษากรีก และภาษาโบราณอื่นๆ แต่พบว่าทุกคำที่ปรากฏรูปในแต่ละภาษาเหล่านั้น ล้วนแปลได้ว่า ‘น้ำ’ ทั้งสิ้น นั่นแปลว่ายาดังกล่าวก็คือน้ำเปล่า แต่ร่ำลือกันในแวร์ซายลส์ว่าเป็นยาที่ชะงัดมาก ซึ่งก็คือผลแบบยาหลอกนั่นเอง
จะเห็นได้ว่า มนุษย์เราใช้หลากหลายวิธีมากเพื่อรักษาตัวเองในยุคก่อนหน้าจะมีการแพทย์สมัยใหม่ บางอย่างก็ใช้ได้ผลและมีฤทธิ์รักษาจริง (เช่นสมุนไพร) บางอย่างก็น่าหวาดเสียวเอามากๆ (เช่นการผ่าเจาะกะโหลก) และบางอย่างก็เป็นเพียงความเชื่อเท่านั้น
แต่ทั้งหมดนี้ มีส่วนทำให้มนุษย์ยังคงอยู่รอด และสืบทอดเผ่าพันธุ์ต่อมาได้จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย