คุณเชื่อไหมครับ ว่าเป็นคนจนนั้น ‘แพง’ กว่าการเป็นคนรวย
ถ้าคุณเป็นคนจน แต่อยากได้ของดีๆ สักอย่างมาอยู่ในครอบครอง คุณจะไม่มีสิทธิพิเศษอะไรทั้งนั้น นอกจากต้องตะเกียกตะกายเก็บหอมรอมริบ เพื่อกำเงินไปซื้อของหรูหราเหล่านั้นในราคาเต็ม ซึ่งในบางกรณีก็ต้องเก็บเงินกันชั่วชีวิต
แต่ก็อย่างที่รู้กันอยู่ ยิ่งคุณรวยมากขึ้นเท่าไหร่ ซื้อของมากขึ้นเท่าไหร่ มีบัตรเครดิตสิทธิพิเศษมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งได้ ‘ส่วนลด’ มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งถ้าคุณเป็นคนดังมากๆ รวยมากๆ หรือมีอำนาจมากๆ สินค้าหลายอย่างก็อาจ ‘จ่ายเงิน’ ให้คุณ เพื่อให้คุณมาทำหน้าที่เป็น ‘ทูต’ ของแบรนด์นั้นๆ ด้วยซ้ำ
แล้วคุณก็จะได้ใช้ของเหล่านั้นฟรีๆ โดยไม่ต้องไปยืมเพื่อนมาใช้ให้เสียศักดิ์ศรีคนรวยด้วยซ้ำ
ลองนึกอีกภาพก็ได้ ถ้าคุณเป็นคนชั้นกลางธรรมดาๆ เวลาคุณจะไปพักผ่อนตากอากาศ คุณอาจต้องเก็บเงินไปเข้าแถวต่อคิวซื้อคูปองในงานท่องเที่ยวลดราคาทั้งหลาย ต้องลาพักร้อนซึ่งอาจจะเสียโอกาสบางอย่างในการทำงานไปด้วย กว่าจะเดินทางไปถึงที่เที่ยวก็เหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด แถมยังอาจถูกที่พักโกง ได้ห้องพักไม่ถูกใจ ฯลฯ อะไรอื่นอีกสารพัด
ทว่าถ้าคุณเป็นคนรวย คุณอาจไม่จำเป็นต้องลาพักก็ได้ เพราะคุณเป็นเจ้าของกิจการอยู่แล้ว จะไปเมื่อไหร่ก็ได้ คุณจ้างคนทำงานที่เก่งมากมาดูแลกิจการให้ คุณจึงไม่ต้องสูญเสียโอกาสทางธุรกิจใดๆ ไปพักผ่อนก็มีเงินงอกขึ้นมาได้ ทั้งในบริษัทของคุณ หุ้น ที่ดิน และการลงทุนอื่นๆ
ที่สำคัญ การพักผ่อนของคุณอาจไม่ต้องเสียเงินสักบาท ค่าเครื่องบินอาจได้มาจากการแลกไมล์ (เพราะคุณบินไปดูงานติดต่องาน หรือบินไปตามคำเชิญของคนนั้นคนนี้ที่ส่งตั๋วเฟิร์สต์คลานมาให้เพื่อไปเจรจาธุรกิจบ่อยๆ) อาจไปพักในบ้านตากอากาศหรูหราหรือนอนบนเรือยอชท์ของเพื่อนคนรวยด้วยกันที่อยากให้คุณยืมใช้อยู่แล้ว แน่นอน – ทั้งหมดนี้ย่อมฟรีและเลิศหรูมากๆ ดังนั้น วันตากอากาศของคุณจึงจบลงอย่างสวยงามสนุกสนาน โดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท
หลายคนอาจรู้สึกว่า พูดแบบนี้ล่องลอยไร้หลักฐานมาก ไม่มีอะไรมารองรับเลย เป็นแค่กาารคิดไปเอง
ที่จริงแล้ว เคยมีงานวิจัยของคุณ Yesim Orhun จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ซึ่งไปศึกษาการใช้ ‘กระดาษชำระ’ ของคนรวยกับคนจนเอาไว้ ซึ่งมันยืนยันกับเราด้วยของใช้พื้นฐานอย่างกระดาษชำระ ว่าวิถีชีวิตแบบคนจนนั้น ‘แพง’ กว่าวิถีชีวิตของคนรวยจริงๆ
ที่เขาเลือกศึกษากระดาษชำระ เพราะมันเป็นของใช้ในชีวิตประจำวันที่ใครๆ ก็ต้องใช้ แล้วเป็นของที่ไม่ว่าจะคนจนหรือคนรวยก็ต้องใช้ในปริมาณเท่าๆ กัน แถมยังเป็นของไม่เน่าไม่เสีย ซื้อมาแล้วเก็บไว้ใช้ได้นาน โดยใช้ข้อมูลจากครอบครัวชาวอเมริกันกว่าแสนครัวเรือน เก็บข้อมูลนานถึงเจ็ดปี คือคอยตามดูการซื้อกระดาษชำระ ซึ่งทั้งหมดนับรวมแล้วคือการซื้อกระดาษาชำระเกือบ 3 ล้านครั้ง ทำให้ได้ตัวเลขต่างๆ ออกมาน่าสนใจมาก
เขาพบว่า เวลาคนจนซื้อกระดาษชำระ มักจะซื้อได้แค่ทีละน้อย แล้วก็ซื้อกระดาษชำระยี่ห้อถูกๆ หยาบสากก้นด้วย ในขณะที่คนรวยซื้อกระดาษชำระยี่ห้อแพงๆ นุ่มสบายก้นทีละเยอะๆ ซื้อทีเป็นหีบห่อใหญ่ๆ ซึ่งเมื่อนำมาถัวเฉลี่ยแล้ว พบว่าคนจนต้องใช้กระดาษชำระราคาถูกสากก้นในราคาที่แพงกว่าคนรวยถึง 5.9% (เมื่อคิดราคาต่อกระดาษหนึ่งแผ่น)
คนรวยสามารถซื้อของเหล่านี้ได้ถูกกว่า เพราะรอให้มันลดราคาได้ ซื้อได้ทีละเยอะมากๆ และเพราะมีบ้านหลังใหญ่กว่า จึงเก็บของได้มากกว่า แต่คนจนทำแบบนี้ไม่ได้ จึงต้องเลือกกระดาษชำระคุณภาพต่ำกว่าด้วยหมายใจจะลดค่าใช้จ่ายตรงหน้า แต่เมื่อนับถึงที่สุดแล้ว เป็นคนจนนี่แหละครับ ที่กลับต้องจ่ายแพงกว่าคนรวย
กระดาษชำระเป็นแค่เรื่องเล็กๆ ที่ทำให้เราเห็นว่าการเป็นคนจนนั้น ‘แพง’ กว่าคนรวยมากขนาดไหน
แล้วถ้าเป็นเรื่องอื่นๆ ที่ใหญ่โตกว่านี้เล่า?
คำถามก็คือ – คนจนจะต้องเผชิญหน้ากับความ ‘แพง’ โดย ‘ระบบ’ เหล่านี้ไปอีกนานแค่ไหนหรือ?