คุณเคยสงสัยไหม ว่าทำไมเราต้องปวดหัวไมเกรนด้วย
ไมเกรนคืออะไรกันแน่?
ที่แน่ๆ คุณคงรู้เหมือนผม ว่าไมเกรนไม่ใช่อาการปวดหัวธรรมดาๆ มันเป็นมากกว่าการปวดตุบๆ เป็นมากกว่าการปวดเป็นคลื่นๆ เป็นมากกว่าการปวดเป็นริ้วๆ เป็นมากกว่าการปวดหัวแล้วคลื่นไส้ เพราะไมเกรนอาจเป็นได้ทุกอาการที่ว่ามา เพิ่มเติมด้วยความรู้สึกเหม็นโน่นนี่ ได้กลิ่นอะไรๆ ก็พานจะรู้สึกอยากอาเจียน ซ้ำยังเซนซิทีฟกับแสงและเสียงต่างๆ ด้วย เวลาเป็นไมเกรน เลยต้องเปิดแอร์ให้เย็นจัดที่สุด ปิดม่านให้มืด ไม่มีเสียงอะไรใดๆ ทั้งสิ้น นอนนิ่งเงียบอยู่กับพื้นเหมือนตายไปแล้ว
ไมเกรนเป็นอาการที่เกิดขึ้นกับคนราว 10% ของทั้งโลก หลายคนบอกว่า เป็นไมเกรนไม่เป็นไรหรอก แค่กินยาแล้วเข้านอน ประเดี๋ยวตื่นมาก็หาย
ในอดีต แพทย์และนักวิจัยไมเกรนทั้งหลายเคยคิดว่า ไมเกรนคืออาการผิดปกติของเส้นเลือดในสมอง แต่ปัจจุบันนี้ แพทย์ถือว่าไมเกรนคืออาการผิดปกติที่เกิดจากการรับรู้ด้วยระบบประสาทแบบหนึ่ง (Sensory Perceptual Disorder) แต่ปัญหาก็คือ ระบบประสาทที่รับรู้มิติต่างๆ ในร่างกายของเรานั้นมีหลายเรื่อง ตั้งแต่แสง เสียง กลิ่น การได้ยิน รวมๆ แล้วเรียกว่าระบบรับความรู้สึก (Sensory Systems)
ที่จริงแล้ว การจะบอกว่าการปวดหัวที่คุณเป็นอยู่ ถือเป็นไมเกรนหรือเปล่าเป็นเรื่องที่บอกเองได้ยากนะครับ เพราะอาการปวดหัวนั้นมีอยู่สองแบบใหญ่ๆ คือปวดจริง ปวดเพราะมันปวดที่หัวจริงๆ มีสาเหตุมาจากหัวของเราจริงๆ เรียกว่า Primary Headaches กับอีกแบบหนึ่งคือ Secondary Headaches ซึ่งอาจจะมีต้นเหตุหรือปัจจัยที่ทำให้ปวดหัวจากภายนอกหรือที่อื่น แล้วก่อให้เกิดอาการปวดหัวขึ้นมา แต่ถ้าเป็นไมเกรนแล้วละก็ มันจะเป็น Primary Headache ชนิดหนึ่งนะครับ
ปกติแล้ว ไมเกรนจะปวดหัวครึ่งเดียว คือปวดซีกใดซีกหนึ่ง และอาจจะมีอาการปวดได้นานตั้งแต่ 2 ชั่วโมง ไปจนถึงหลายวันไม่หยุดหย่อน หลายคนเชื่อว่า ไมเกรนถูกกระตุ้นได้ทั้งจากสิ่งแวดล้อมภายนอก และเป็นเรื่องทางกรรมพันธุ์ด้วย เพราะมีรายงานว่า 2 ใน 3 ของผู้ที่มีอาการไมเกรนจะมีญาติเป็นด้วยเหมือนกัน
ที่น่าสนใจก็คือ ก่อนวัยเจริญพันธุ์ เด็กชายจะมีโอกาสปวดหัวไมเกรนมากกว่าเด็กหญิงเล็กน้อย แต่หลังวัยเจริญพันธุ์ไปแล้ว ปรากฏว่าผู้หญิงปวดหัวไมเกรนมากกว่าผู้ชายสองถึงสามเท่า ซึ่งแปลว่าไมเกรนน่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในร่างกายด้วย
ทีนี้ถ้าถามว่า แล้วไมเกรนเกิดขึ้นจากอะไร คำตอบหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบก็คือ มันเกี่ยวข้องกับ ‘ตัวรับ’ ในเซลล์ประสาทในสมอง เป็นตัวรับที่เรียกว่า Nociceptor ซึ่งก็คือ Receptor แบบหนึ่ง ที่จะตอบสนองต่อสิ่งเร้าด้วยการส่งสัญญาณประสาทออกมายังไขสันหลังและสมอง ซึ่งถ้าสมองคิดว่าสิ่งเร้านั้นเป็นอันตราย สมองก็จะ ‘เตือน’ ร่างกาย ด้วยการสร้างความรู้สึกเจ็บขึ้นมา เพื่อให้เราหันไปสนใจอวัยวะส่วนที่เจอกับสิ่งเร้านั้นๆ เพื่อจะได้จัดการกับสิ่งเร้า
กระบวนการนี้เรียกว่า Nociception เป็นกระบวนการที่ค้นพบโดย ชาลส์ สก็อตต์ เชอร์ริงตัน (Charles Scott Sherrington) ในปี 1906 ก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า กลไกการกระตุ้นอะไรพวกนี้เป็นแบบเครื่องจักร คือพอมีพลังงานจากการกระตุ้น (เช่นถูกตบถูกต่อย) พลังงานก็จะวิ่งเข้าไปหาตัวรับที่ก่อให้เกิดการตอบสนองด้วยการเคลื่อนไหว แต่เชอร์ริงตันทำการทดลองที่แสดงให้เห็นว่าการกระตุ้นในรูปแบบต่างๆ นำไปสู่การตอบสนองได้หลากหลายมาก ไม่ใช่ตอบสนองแบบเป็นกลไกอย่างเดียว
ทีนี้ในส่วนของไมเกรน นักวิทยาศาสตร์พบว่า Nociceptor นั้น พอมันตรวจจับความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างขึ้นมา (เช่น แสง เสียง หรือกลิ่น) แล้วมันคิดว่าเป็นอันตราย (เป็น Threat ต่อร่างกาย) ก็จะสร้างสารสื่อประสาทประเภท Neuropeptides ออกมา สารนี้จะส่งผลต่อเซลล์รอบข้าง ทำให้เซลล์เหล่านั้นมีความอ่อนไหว (Sensitivity) มากขึ้น แล้วก็ยิ่งปล่อย Neuropeptides ออกมามากขึ้นด้วย
Neuropeptides เป็นโปรตีนโมเลกุลเล็ก (ก็คือเพพไทด์) ที่เซลล์ประสาท (คือนิวรอน) ใช้เพื่อสื่อสารระหว่างกัน มันจะไปทำงานกับหลอดเลือดและเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อที่อยู่รอบๆ สมอง ทำให้หลอดเลือดขยายตัว เพ่ิมการไหลเวียนของเลือด
พอหลอดเลือดเป็นแบบนี้ แพทย์หลายคนก็เลยเชื่อว่าจะทำให้เกิด ‘อาการนำ’ อย่างหนึ่งของไมเกรนที่เกิดขึ้นกับหลายคน เรียกง่ายๆ ก็คืออาการตาพร่าหรือตามัว ฝรั่งจะเรียกว่าเข้าสู่ช่วง Aura คืออาจเกิดาการกับการมองเห็นได้หลายแบบ ตั้งแต่แค่พร่ามัวไปจนถึงบางส่วนของภาพเลือนหายไปเลยก็มี
หลังจากช่วง Aura แล้ว บางคนก็ไม่ได้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนตามมานะครับ เพราะเป็นไปได้เหมือนกันที่ Neuropeptides จะลดปริมาณลง แต่ถ้าเป็นตรงข้าม คือนิวโรเพพไทด์ยังคงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะเกิดอาการขยายตัวของเส้นเลือดมากขึ้น (Vasodilation) จนถึงระดับที่ทำให้ปวดหัวแบบไมเกรนได้ การปวดหัวแบบไมเกรนจึงต่างจากการปวดหัวแบบอื่นๆ ที่มักเกิดขึ้นเพราะเส้นเลือดหดตัว (Vasoconstriction)
คุณอาจรู้สึกว่า บางคนเวลาเป็นไมเกรนนี่จะมีอาการที่ ‘โอเวอร์’ มากๆ ไม่รู้จะเปราะบางไปถึงไหนใช่ไหมครับ ได้กลิ่นโน่นนิดนี่หน่อยก็จะอ้วกเสียแล้ว แต่จริงๆ เป็นไปได้เหมือนกันที่ไมเกรนของบางคนจะหนักหนาถึงขั้นที่เกิดอาการ Allodynia คือจะไวกับสิ่งเร้ามากๆ จนถึงขั้นเจ็บปวดกับสิ่งที่ปกติแล้วไม่ทำให้เจ็บปวด เขาบอกว่า บางคนนี่ แค่ไอน้ำจากฝักบัวพลุ่งขึ้นมาโดนผิวก็ทนไม่ได้แล้ว เพราะว่าร่างกายมันไวต่อสิ่งเร้ามาก
ไมเกรนแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ได้หลายแบบ วิธีแบ่งประเภทหนึ่งคือแบ่งตามอาการ มีอยู่ด้วยกันสี่อย่าง คือ
-ไมเกรนเรื้อรัง (Chronic Migraines) จะเกิดขึ้นเดือนละ 15 ครั้งขึ้นไป
-ไมเกรนแบบคลาสสิก (Classic Migraines) เป็นอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นร่วมกับอาการ Aura ของตาด้วย แบบนี้จะทนแสงจ้าไม่ได้เลย
-ไมเกรนทั่วไป (Common Migraines) เป็นไมเกรนแบบที่ไม่มีช่วง Aura มาเตือนก่อน แต่เกิดขึ้นฉับพลันทันที แต่ก่อนหน้านั้นอาจมีปัญหาเรื่องการรับรู้อื่นๆ
-ไมเกรนแบบไม่ปวดหัว (Ocular Migraines) แบบนี้คือจะมีปัญหากับสายตา คือเกิด Aura แต่ว่าไม่รู้สึกปวดหัว
ปัจจุบันนี้ ไมเกรนมียาใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลา คุณสามารถปรึกษาแพทย์ได้ว่าควรใช้ยาชนิดไหนให้เหมาะกับไมเกรนของคุณ แต่ปัญหาในทางการวิจัยปัจจุบันที่นักประสาทวิทยาอย่างคุณ Teshamae Monteith แห่งมหาวิทยาลัยไมอามีในฟลอริดาบอกก็คือ การทดลองกับสัตว์ทดลองนั้นยังไม่ให้ผลที่ดีเท่าไหร่ เพราะสมองของสัตว์ไม่ซับซ้อนเท่ากับสมองของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีวิธีศึกษาไมเกรนหลายแบบ โดยเฉพาะกับเทคโนโลยีการสแกนสมอง ทำให้เราเข้าใจโครงสร้าง ความสัมพันธ์ และสารเคมีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับไมเกรนได้มากขึ้น
นอกจากนี้ การผ่าสมองของศพที่ป่วยเป็นไมเกรนหนักๆ ก็ช่วยให้เข้าใจสาเหตุของเนื้อสมองส่วนที่เป็น White Matter ซึ่งเกี่ยวข้องกับไมเกรนได้มากขึ้น แต่กระนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคนที่เสียชีวิตด้วยโรคต่างๆ เช่น เส้นเลือดในสมองแตกหรือมะเร็ง ก็อาจทำให้สมองเปลี่ยนแปลงไปได้ จึงศึกษาไมเกรนในคนที่เสียชีวิตไปแล้วได้ยาก
คนที่ไม่ปวดหัวไมเกรน อาจไม่รู้ว่าไมเกรนเป็นอาการที่หนักหนามากแค่ไหน ดังนั้นการทำความเข้าใจไมเกรนเพื่อจะบำบัดรักษาให้หายขาดได้ จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
ดูสิครับ แค่เขียนถึงไมเกรนแค่นี้ ผมยังรู้สึกได้ถึงคลื่นไมเกรนเป็นริ้วๆ ที่กำลังจะเคลื่อนเข้ามาโจมตีเลย!