การปกครองตัวเอง ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Autonomous
ทีนี้พอเป็นรถยนต์ที่ ‘ปกครองตัวเอง’ ได้ ก็เลยมีคนเล่นคำนะครับ กลายเป็นคำว่า AUTOnomous ซึ่งเอาเข้าจริงก็หมายถึง ‘รถยนต์’ ที่ไม่ต้องให้ใครมาขับ แต่มันสามารถ ‘ขับตัวเอง’ ได้
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือเป็น Driverless Car นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม รถยนต์ที่ไม่ต้องการคนขับหรือ ‘ปกครองตัวเอง’ ได้ทั้งหมดนั้น ไม่ใช่ว่าจู่ๆมันจะทำได้ในทันทีทันใด คือเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยหรอกนะครับ แต่ทว่าเทคโนโลยีนั้นค่อยๆเปลี่ยนไปเหมือนกัน
ตัวอย่างที่เราพบก็คือ รถยนต์อย่าง Volvo ท่ีใส่เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยเข้ามาหลายอย่าง เช่น เตือนเวลามีรถแล่นมาด้านข้าง หรือหยุดรถ (ที่ความเร็วไม่มากเกินไปจนเป็นอันตราย) เมื่อเจอสิ่งกีดขวาง โดยเฉพาะสิ่งกีดขวางที่เป็นตัวคน คือมีการตรวจจับรูปร่างของคนได้ รวมไปถึงคนที่เป็นเด็กด้วย นอกจากนี้ รถยนต์อย่าง Ford ก็สามารถกดปุ่มให้มันถอยเข้าถอยออกเพื่อจอดรถได้เองด้วยโดยคนขับไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน
พูดง่ายๆก็คือ รถยนต์ปกครองตัวเองนั้น ไม่ใช่จู่ๆก็ปกครองกันได้นะครับ โดยหน่วยงานที่เรียกว่า National Highway Traffic Safety Administration ของสหรัฐอเมริกา (คงคล้ายๆกับกรมการขนส่งทางบกนั่นแหละครับ) ได้แบ่งรถยนต์ออกเป็น 5 Level ด้วยกัน ตามอาการ ‘ปกครองตัวเองได้’ ของมัน
อันแรกสุดคือ Level 0 คือเป็นรถยนต์ที่ไม่มีระบบ Autonomous หรือ Automatic อะไรเลย เรียกว่าเป็นรถยนต์ที่คนขับจะต้องควบคุมอย่างสมบูรณ์แบบตลอดเวลา
อันที่สองคือ Level 1 เป็นรถยนต์ที่คนต้องควบคุมอยู่นะครับ แต่ว่ามีบางระบบที่อัตโนมัติ อาทิเช่น รถบบควบคุมการทรงตัวอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบเบรกอัตโนมัติ อันนี้ก็พบเห็นกันได้ทั่วไปในรถยนต์ยุคปัจจุบันหรือยุคก่อนหน้านี้เล็กน้อย
อันที่สามคือ Level 2 คือรถยนต์ที่มีระบบการควบคุมแบบอัตโนมัติสองอย่างที่ทำงานร่วมกัน อย่างเช่นมีระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ หรือที่เรียกว่าครุยส์คอนโทรล แต่ไม่ได้ทำงานของมันเดี่ยวๆ ยังทำงานร่วมกับระบบรักษารถยนต์ให้อยู่ในเลนด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเปิดใช้การควบคุมสองอย่างนี้ รถคุณก็จะแล่นไปไม่มีวันตกถนนแน่นอน
อันที่สี่คือ Level 3 คราวนี้จะล้ำหน้าขึ้นมาอีกขั้น ด้วยการที่ในยามปกติ มนุษย์ก็ขับกันไป แต่ถ้าเกิดเหตุการฉุกเฉินอะไรชึ้นมา เจ้ารถยนต์ก็จะเกิดอาการตื่นตัวตื่นรู้ขึ้นมา แล้วมันก็จะเข้ามาควบคุมการบังคับรถทั้งหมดเอง จนเมื่อเหตุการณ์ฉุกเฉินนั้นผ่านไปแล้ว ถึงจะ ‘คืน’ การควบคุมรถให้คน โดยมีช่วงเวลาในการเปลี่ยนผ่านเล็กน้อยเพื่อให้คนขับรู้สึกสบายใจขึ้น เรียกว่าฉลาดล้ำเลิศเลยทีเดียว
สุดท้ายคือ Level 4 ระดับนี้คือรถยนต์ที่ไม่ต้องให้คนมายุ่งเลยครับ เพราะคนตัวรถยนต์นั้นสามารถทำหน้าที่ต่างๆได้หมด พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือเป็น AUTOnomous กันเต็มตัวนั่นเอง
ทีนี้ถ้าเกิดว่ามีรถยนต์แบบไร้คนขับ หรือรถยนต์แบบที่เป็น Autonomous เกิดขึ้นมาจริงๆ จะเกิดผลอะไรขึ้นมาบ้าง
อย่างแรกสุดก็คืออาชีพบางอาชีพจะหายไป เช่น คนขับแท็กซี่ คนขับรถเมล์ คนขับรถบรรทุกและรถชนิดต่างๆ เพราะเมื่อรถมันขับตัวเองได้ ก็ไม่ต้องมีคนขับอีกต่อไปแล้ว แถมรถพวกนี้ยังสื่อสารกับระบบอื่นๆได้อีกด้วย (แบบ Internet of Things) ทำให้ต่อไปก็ไม่ต้องมีพนักงานเก็บค่าทางด่วนหรือพนักงานวิเคราะห์การจราจรกันอีกต่อไป และเมื่อคนไม่ได้ขับรถเอง ก็ไม่ต้องมีใบขับขี่ หน่วยงานที่ดูแลเรื่องสอบใบขับขี่ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป บริการรถเช่าหรือประกันภัยรถยนต์ก็อาจไม่มีหรือลดน้อยลงด้วย เพราะเราสามารถใช้รถกันได้แบบหมุนเวียน
ในส่วนของตัวรถเอง ต่อไปก็ไม่จำเป็นต้องมีพวงมาลัย (เพราะคนไม่ต้องบังคับแล้วนี่ครับ) รวมไปถึงคันเร่งหรือเบรคด้วย แผงหน้าปัดรถยนต์แบบเดิมก็ไม่ต้องมี แม้กระทั่งเข็มขัดในรถก็ยังไม่จำเป็นต้องมีเลยครับ เพราะรถเหล่านี้จะรับประกันให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดโดยใช้ Big Data ร้านซ่อมรถยนต์ต่างๆก็ไม่จำเป็นต้องมีด้วย เพราะรถเหล่านี้จะรู้ว่ามันต้องเข้ารับการตรวจซ่อมเมื่อไหร่บ้าง
ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ พวกบริการที่จอดรถทั้งหลายคงจะหายไปแน่ๆ เพราะคนจะไม่ใช้รถแบบเดิมอีก คือไม่ได้ขับไปจอดไว้เฉยๆ แต่รถเหล่านี้จะหมุนเวียนเปลี่ยนผลัดไปรับผู้โดยสารคนนั้นคนนี้ไม่อยู่นิ่ง และเอาเข้าจริง กระทั่งตำรวจจราจรก็อาจไม่จำเป็นอีกต่อไปด้วยซ้ำ
จะเห็นว่า เมื่อรถยนต์ ‘ปกครองตัวเอง’ ได้แล้ว มันจะกลายร่างจากการเป็นแค่ ‘สัญญะ’ ที่ให้ความหมายกับคน กลายไปเป็นสิ่งที่ถูก ‘ใช้งาน’ จริงๆมากขึ้น
โฉมหน้าการเดินทางในโลกอนาคตจึงจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างคาดไม่ถึงแน่นอน!