ปีใหม่ทำให้หลายคนอยากตั้งต้นอะไรใหม่ๆ ชีวิตเก่าๆนั้นเต็มไปด้วยร่องรอยของความทุกข์ ความผิดหวัง เรื่องผิดพลาด ความรักที่ไม่สมหวัง และความเหนื่อยหน่ายในชีวิต
เราอยากเริ่มต้นใหม่ เรามักอยากทำสิ่งใหม่ๆกันเสมอ
แต่คุณรู้ไหม ว่าถึงแม้ปีใหม่จะเป็นเหมือน ‘วันเกิด’ ของคนทุกคนที่จะมีโอกาสได้ ‘เกิดใหม่’ แต่เรามักตั้งหน้าตั้งตารอคอยให้ถึงปีใหม่เพื่อจะเริ่มต้นใหม่…ด้วยอุปนิสัยเก่า
ใช่, อุปนิสัยเก่า!
ต่อให้เป็นปีใหม่ ต่อให้เราตั้งปณิธานจะทำสิ่งต่างๆมากมายเพียงใด แต่หากมองย้อนกลับไปในแต่ละปีที่ผ่านมาในชีวิต เราจะพบว่าบ่อยครั้งทีเดียว หรือพูดให้ชัดเจนกว่านั้นก็คือทุกปีที่ผ่านมา ต่อให้ตั้งใจมั่นมากเพียงใด เราก็ยังเริ่มต้นปีใหม่ด้วยอุปนิสัยเก่าๆ เดิมๆ ของเราอยู่นั่นเอง
มนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป-มนุษย์ไม่เคยหยุดร้องไห้
เพราะมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ไม่ยอมทิ้งความทุกข์ เราแบกทุกข์ติดตัวเราไปด้วยทุกหนทุกแห่งในชีวิต ไม่ว่าจะในปีเก่าหรือปีใหม่
พระพุทธเจ้าตรัสว่า การสิ้นสุดแห่งทุกข์มีอยู่ แต่ไม่ใช่การยุติความเจ็บปวด แต่เป็นการปลดปล่อยใจให้เป็นอิสระจากอำนาจของความเจ็บปวด นี่คือนิพพาน *
ที่จริงแล้ว ความทุกข์ ความเครียด ความปวดร้าว และอะไรอื่นในชีวิตที่เราไม่ชอบหรือชิงชังมัน ส่วนใหญ่แล้วเกิดขึ้นเพราะมัน ‘ไม่เป็นไปอย่างใจ’ ของเรา เราเอาใจของเราเข้าไปจับ ไปยึดกุม ไปทึกทักว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นของของฉัน และฉันอยากให้มันเป็นไปอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้ามันไม่เป็นไปอย่างนั้นอย่างนี้ ฉันจึงเป็นทุกข์
แต่เราลืมไปหรือเปล่าว่า ถึงที่สุดแล้ว แม้กระทั่งหัวใจของเราเอง เรายังบังคับมันไม่ได้
โลกไม่ได้เป็นสิ่งแข็งกระด้างวางอยู่บนผืนกระดาษ ไม่มีอะไรอยู่นิ่งตายตัว แต่โลกคือการปะทะกันของเหตุและผลต่างๆ ผลบางอย่างเป็นเหตุของสิ่งอื่น และเหตุของสิ่งอื่นก็ทำให้เกิดผล ทุกอย่างซับซ้อนย้อนแย้งกันไปมา ไม่มีอะไรง่ายแบบหนึ่งไม่ใช่สอง เพราะหนึ่งอาจเป็นสองได้ทุกเมื่อ โลกไม่ได้เป็นขาวกับดำ ไม่ได้เป็นนอกกับในแยกขาดจากกัน สิ่งที่อยู่ภายนอกอาจอยู่ภายในตัวเราด้วย ความเลวร้ายของฆาตกรก็เป็นของฆาตกรมากพอๆกับที่เป็นของเรา
ปีใหม่ไม่ได้เป็นปีศาจสิงสถิตย์อยู่กับเข็มนาฬิกา และทำให้เข็มนาฬิกานั้นหยุดนิ่ง มันไม่ได้ทำให้โลกหยุดนิ่ง แม้ในช่วงเวลาที่ทุกคนกระโดดโลดเต้นยินดีกับการผลัดปี ก็ไม่ได้แปลว่าเหตุและผลต่างๆของสรรพสิ่งจะหยุดนิ่งอยู่กับที่ มันยังคงทำงานต่อไป และที่สุดเราก็จะเดินทางผ่านปีใหม่ไปเหมือนมันคือช่วงเวลาธรรมดาๆช่วงหนึ่ง
ในภาพยนตร์เรื่อง Fiddler on the Roof มีเพลงอยู่เพลงหนึ่งที่มีชื่อเรียบง่ายว่า Sunrise, Sunset หรือพระอาทิตย์ขึ้น, พระอาทิตย์ตก เนื้อหาของเพลงไม่ได้มีอะไรมาก นอกจากการรำพันถึงวันเวลาที่ผ่านไปของคู่สามีภรรยาที่มีสถานะเป็น ‘พ่อและแม่’ คู่หนึ่ง ในงานแต่งงานของลูกสาวตัวเอง ชายหญิงคู่นั้นถามตัวเองว่า นี่หรือคือเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่พวกเขาเคยอุ้ม นี่หรือคือเด็กผู้ชายตัวเล็กๆที่เคยวิ่งเล่นอยู่ บัดนี้พวกเขาไม่ได้เป็นเด็กผู้หญิงหรือเด็กผู้ชายตัวเล็กๆอีกต่อไปแล้ว แต่พวกเขาคือผู้ใหญ่-เป็นหนุ่มสาวที่กำลังจะแต่งงานกัน
สำหรับชายผู้นั้น-ผู้ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมโบราณและไม่เคยเอ่ยปากบอกรักภรรยาเลย, เวลาได้ผ่านไปเร็วเหลือเกิน ดูคล้ายเมื่อวานนี้เองที่หนุ่มสาวคู่นี้ยังเป็นเด็ก เธอเริ่มงดงามเป็นสาวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เขาตัวสูงขึ้นตั้งแต่เมื่อใดหรือ สำหรับผู้เป็นพ่อและแม่นั้น พระอาทิตย์ขึ้นและตก แล้วพระอาทิตย์ก็ขึ้นและตกอีกครั้ง-ครั้งแล้วครั้งเล่า-วันแล้ววันเล่า-ฤดูกาลแล้วฤดูกาลเล่า-ปีแล้วปีเล่า, ทั้งหมดนี้ผันผ่านไปคล้ายไม่รู้ตัว
นักวิทยาศาสตร์บอกว่า เวลาของคนชรามักผ่านไปเร็วกว่าคนวัยอื่น ยิ่งเรามีอายุมากเท่าไหร่ เวลาก็จะยิ่งเร่งร้อนเดินทางผ่านเราไปเร็วเท่านั้น-นี่คือเรื่องน่าเศร้าหนึ่งของชีวิต พระอาทิตย์ของคนวัยกลางคนและวัยชรานั้น ขึ้นและตกรวดเร็วกว่าพระอาทิตย์ของคนหนุ่มสาว และพระอาทิตย์ของคนหนุ่มสาว ก็ขึ้นและตกรวดเร็วกว่าพระอาทิตย์ของเด็กๆ
ยิ่งมีชีวิตอยู่ เราก็จะรู้สึกว่าเวลาเดินเร็วขึ้น ดังนั้น ในสายตาของคนอื่นๆ เราจะเชื่องช้าลง งุ่มง่ามมากขึ้น อ่อนแรงลง และไม่เฉียบคมกับการตัดสินใจเหมือนเมื่อก่อน-แต่นี่ไม่ใช่ความผิดของใครเลย
พระอาจารย์พุทธทาสสหายธรรมของหลวงพ่อชาชี้ให้ศิษย์เห็นถึงประเด็นที่จะค้นหานิพพานได้ด้วยวิธีที่ง่ายที่สุดอยู่ทุกขณะในทุกๆวัน ท่านจะบอกว่า “นิพพานคือใจที่สงบเยือกเย็นจากการปล่อยวาง และเป็นความรู้สึกปีติที่มีอยู่เป็นปกติวิสัย เมื่อไม่มีการติดยึดหรือต่อต้านชีวิต นิพพานก็หาได้อยู่เสมอ” ท่านอธิบายต่อไปว่า “ใครๆ ก็เห็นได้ว่า ถ้าการติดยึดและการต่อต้านอยู่กับเราไปทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หยุดหย่อนแล้ว ใครจะทนต่อสิ่งเหล่านั้นไปได้ตลอด? ภายใต้สภาพการณ์ดังกล่าว สิ่งมีชีวิตทั้งหลายจะต้องตายหรือไม่ก็เป็นบ้า แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เราอยู่รอดมาได้เพราะมีช่วงเวลาที่ใจสงบเยือกเย็นตามธรรมชาติ ผ่อนคลาย และจิตใจได้รับการฟื้นฟู ความจริงแล้วความรู้สึกเหล่านี้คงอยู่ยืนยาวกว่าจิตใจที่เร่าเร้อนอันเกิดจากการติดยึดและความกลัว ทั้งยังเป็นเครื่องเกื้อหนุนจิตใจเราด้วย การมีช่วงเวลาที่ได้พักใจทำให้เรารู้สึกดีและกลับมาสดชื่นได้ใหม่ ทำไมเราไม่รู้สึกขอบคุณต่อการเข้าถึงนิพพานได้ทุกวันเช่นนี้?” *
ใครคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า ไม่มีอะไรไกลแสนไกลเท่ากับเมื่อหนึ่งนาทีที่ล่วงไปแล้ว ชีวิตของเราก็เป็นเช่นนั้น บางครั้งเราอาจอยากย้อนกลับไปอยู่ในโรงเรียนใหม่ อยากมีพลังของวัยเยาว์ กระตือรือร้น และเห็นโลกแปลกใหม่เหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เราก็เป็นอย่างนั้นไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้ มีแต่ใช้จ่ายหนึ่งนาทีนี้แห่งปัจจุบันขณะให้ดีที่สุดเหมือนกับเราไม่เคยใช้มันมาก่อน
แต่ข้อเท็จจริงก็คือ-เราไม่เคยใช้หนึ่งนาทีที่อยู่ตรงหน้ามาก่อนจริงๆ มันเป็นหนึ่งนาทีสดใหม่ของเรามากพอๆกับที่เป็นหนึ่งนาทีสดใหม่ของโลกและของทุกคน แม้ว่าหนึ่งนาทีนั้นจะยาวนานไม่เท่ากันในความรู้สึกของคนแต่ละวันวัย แต่มันคือหนึ่งนาทีเดียว ที่เราจะสร้างโลกของเราขึ้นได้…ไม่ใช่หนึ่งนาทีในอดีต และยิ่งไม่ใช่หนึ่งนาทีในอนาคต
เมื่อฟังเพลง Sunrise, Sunset เป็นครั้งแรก ผมไม่เข้าใจนักหรอกว่าความหมายของมันคืออะไร แต่ในตอนนี้, ผมเริ่มเข้าใจมากขึ้นถึงความหมายของพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก ของวันเวลา ของนาทีใหม่ วันใหม่ เดือนใหม่ และปีใหม่
สวัสดี-นาทีใหม่, นะครับ