เริงระบำบนผิวน้ำ

 

1

กวีผู้อ่อนไหวอย่าง W.H. Auden เคยบอกไว้ว่า

 

ผู้คนนับพันอาจมีชีวิตอยู่ได้โดยไร้รัก

แต่หามีไม่ ที่ใครจักอยู่ได้โดยไร้สายน้ำ

 

ดังที่เราล้วนรู้ แม่น้ำลำคลองและธารน้ำทั้งหลาย ต่างไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือดของเรา

น้ำจึงเป็นชีวิตของเราเสมอมา

 

2

ไม่มีกวีคนใดมองเห็นผืนน้ำด้วยสายตาแบบเดียวกัน พวกเขาพกพาการตีความและอารมณ์สั่นสะเทือนหลากแบบเอาไว้ในหัวใจ ผืนน้ำสำหรับแต่ละคนจึงแผกแตกต่าง

ทว่าไม่ใช่เพียงกวีหรอก-ที่มีสายตาไว้แสวงหาความต่าง

กระทั่งนักวิทยาศาสตร์ก็เช่นกัน

เมื่อมองดูผิวน้ำ ไอน์สไตน์เห็นในสิ่งที่หลายคนมองข้าม เขาเห็นละอองเกสรเล็กๆที่โรยตัวลงไปบนผิวน้ำ มันเคลื่อนที่ไปมาไม่หยุดนิ่ง แม้ว่าสายลมจะไม่ได้พัด ไร้แรงกระทำอื่นใด ทว่าละอองเกสรเล็กจิ๋วนั้นก็ยังเลื่อนตัวไปมาราวเริงระบำอยู่บนผิวน้ำ

เขาพิศวงกับสิ่งนี้

ดวงตาละเอียดอ่อนของเขามองเห็นการเริงระบำบนผิวน้ำของละอองเกสรเช่นเดียวกับที่กวีมองเห็น แต่สิ่งที่ผ่านเข้่าสู่สมองส่วนหน้าของเขาไม่เป็นเพียงเรื่องของความงามเท่านั้น ความพิศวงนำเขาย้อนกลับสู่ความรู้ในทฤษฎีเกี่ยวกับโมเลกุลของของเหลว 

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นักพฤกษศาสตร์ชื่อดังชาวอังกฤษอย่าง โรเบิร์ต บราวน์ ก็เคยสังเกตสิ่งเดียวกันกับไอน์สไตน์ เขาบอกว่า ละอองเกสรนั้นมีการเคลื่อนที่บนผิวน้ำที่ยากหยั่งคาด หรือหากจะพูดให้ถูกก็คือ-คาดเดาไม่ได้เอาเสียเลย มันเคลื่อนไปแบบสุ่ม ทั้งที่ดูแล้วไม่มีแรงกระทำอื่นใดไปผลักไสให้เกิดการเคลื่อนที่นั้น

การเริงระบำบนผิวน้ำเยี่ยงนั้น ได้ชื่อว่า ‘การเคลื่อนที่แบบบราวน์’ หรือ Brownian Motion ตามชื่อของเขา แต่กระนั้น ยังไม่มีใครรู้หรอกว่า-นี่คือการมองเห็น ‘ผล’ การเคลื่อนที่ของ ‘โมเลกุล’ ด้วยตาเปล่า ซึ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่งนัก เพราะเราไม่มีทางมองเห็นโมเลกุลของน้ำได้

เกือบร้อยปีถัดมาหลังข้อสังเกตของโรเบิร์ต บราวน์ ไอน์สไตน์จึงเห็นสิ่งนี้ ผลของการเห็นนั้นยิ่งใหญ่นัก เพราะคือการยืนยันว่าโมเลกุลและการเคลื่อนที่ของโมเลกุลนั้นมีอยู่จริงผ่านการคำนวณอันซับซ้อน

ในแง่หนึ่ง การเริงระบำบนผิวน้ำจึงไม่ได้เป็นเพียงความงาม

แต่ยังเผยให้มนุษย์ได้ค้นพบความยิ่งใหญ่ในสายตาอันละเอียดอ่อนอีกด้วย

 

3

เหมือนกับน้ำในสายธารลึก

ความรักมากล้นเกินไปเสมอ

เราไม่ได้สร้างมันขึ้น

แม้ว่าเราจะดื่มกินจนร่างระเบิด

เราก็มิอาจได้มันไว้ทั้งหมด

ทั้งมิอาจปรารถนามันทั้งหมด

ด้วยน้ำมีมากมาย

ล้นเกินความกระหายของเรา

ในยามค่ำ เรามาสู่ฝั่ง

เพื่อดื่มจนสิ้นกระหาย

แล้วหลับใหล

ในขณะที่น้ำไหลไป

ผ่านดินแดนแห่งความมืด

มันไม่ได้โอบกอดเรา

เป็นเราเอง ที่หวนคืนสู่สายน้ำนั้นเสมอ

เพื่อดับความกระหาย

เราเข้าไป และตั้งใจจะตาย

อยู่ในรุ่มรวยแห่งความรื่นรมย์นั้น

เวนเดล เบอร์รี

กวีอเมริกัน

 

สิ่งที่เริงระบำกับผิวน้ำบ่อยครั้งที่สุดก็คือแสง

การตกกระทบของแสงบนผิวน้ำ ก็เหมือนการตกกระทบของแสงบนผิวกระจก

ที่แผกแตกต่าง มีเพียงผืนกระจกมักเรียบนิ่ง แม้กล่าวกันว่ากระจกเป็นของไหลที่ไหลช้าๆ แต่ผืนน้ำย่อมปราดเปรียวกว่า มันกระฉอกตัวไปมา จึงดักสะท้อนแสงในทิศทางที่ยากหยั่งคาด ระยิบของแสงที่ตกต้องสะท้อนผืนน้ำ แล้วสาดกระทบเข้าสู่เรตินาของมนุษย์จึงสร้างความพิศวงงงงวยให้เราได้เสมอ

มันคือความมหัศจรรย์ธรรมดาที่เกิดอยู่เสมอ ด้วยหลักการทางคณิตศาสตร์ง่ายๆว่ามุมตกเท่ากับมุมสะท้อน แต่กระนั้นก็กลับสลับซับซ้อน ไม่เคยเหมือนกันเลยแม้สักแวบวินาที จึงเผยให้เราเห็นถึงความสัมพันธ์อันแสนอัศจรรย์นั้น

สวยงาม นิ่งสงบ วูบไหว และบางคราวก็เจ็บร้าวโดยไม่รู้เหตุผล

กล่าวกันว่า แสงแดดกับสายน้ำเป็นความสัมพันธ์ที่เหมือนกับความรัก 

พวกมันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน โดยธรรมชาติแล้ว สายน้ำและแสงแดดคือคนละสิ่ง อย่างหนึ่งเป็นวัตถุที่ไหลไปมาอย่างคาดเดาไม่ได้ โมเลกุลของน้ำนั้นกระเพื่อมไปมาแบบสุ่ม แม้ไอน์สไตน์มองเห็นความเป็นจริงนี้ ก็ใช่ว่าเขาจะสามารถคำนวณคลื่นในทะเลและการเคลื่อนไหวของโมเลกุลผิวน้ำได้

แต่เขาทำอย่างนั้นกับแสงได้

หากผิวน้ำเป็นเสมือนความเปลี่ยนแปรอันอ่อนไหวและต่อเนื่อง แสงก็คล้ายเป็นความเข้มแข็งที่พยายามจะหยุดนิ่งอยู่กับหลักบางอย่าง แสงเป็นทั้งพลังงานและอนุภาค ทั้งจับต้องได้และจับต้องไม่ได้ ความเร็วของแสงนั้นมีค่าเท่ากันเสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในจักรวาล แสงจึงเป็นคล้ายค่าคงที่ เป็นเสาหลักให้กับทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลแห่งนี้

แต่กระนั้น หากจักรวาลมีเพียงแสง มันจะเดินทางไปไกลจนไร้ที่สิ้นสุด ไกลเกินกว่าขอบจักรวาล แสงจะไม่หวนคืนกลับมาอีก คล้ายกับไม่อาลัยอาวรณ์ในสิ่งใด

แต่เพราะมีผืนน้ำเป็นผู้สะท้อน แสงบางส่วนจึงย้อนกลับสู่ดวงตา ให้มนุษย์ได้มองเห็นพราวพร่างบนผืนน้ำนั้นว่าละม้ายการเริงรำ

น่าประหลาด ที่ไอน์สไตน์คำนวณได้ คาดเดาได้ ว่าแสงที่อยู่ไกลสุดฟ้านั้นจะมีคุณสมบัติอย่างไร

แต่เมื่อแสงตกต้องสิ่งง่ายๆใกล้ๆตัว สิ่งซึ่งไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือดของตัวเองอย่างกระเพื่อมของน้ำ เขากลับบอกไม่ได้อย่างชัดเจนแม่นยำว่าแล้วต่อไปมันจะเป็นอย่างไร

นี่อาจเหมือนกับความรัก

เรารู้ชัดได้เสมอเมื่ออยากรู้-ว่าหัวใจของเราเต้นกี่ครั้งต่อนาที แต่เมื่อมีหัวใจของใครอีกคนหนึ่งมาร่วมเต้นอยู่ใกล้ๆ เรากลับบอกไม่ได้เลยว่า จังหวะการเริงระบำของหัวใจคนสองคนนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป

หัวใจของเราจะเต้นแรงขึ้นไหม มันจะเป็นเช่นนี้ตลอดไปไหม

หรือเมื่อเวลาผ่านไป หัวใจของเราจะอ่อนล้าลง เต้นแผ่วลง และไม่ตื่นเต้นกับหัวใจอีกดวงแล้ว

แล้วหัวใจอีกดวงนั้นเล่า มันจะถูกเราทำร้ายได้มากมายถึงเพียงไหนกัน

 

4

น้ำตาคือหยดน้ำ และดอกไม้ ต้นไม้ ผลไม้ ก็ไม่อาจเติบโตได้โดยปราศจากน้ำ ทว่าจะต้องมีแสงแดดอยู่ด้วยเสมอ หัวใจที่บาดเจ็บจะได้รับการเยียวยาเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเป็นเช่นนั้น ความทรงจำและความรักก็จะผนึกแน่นอยู่ในความทรงจำ เพื่อคอยปลอบโยนเรา

ตอนหนึ่งจากนิยายเรื่อง The Taggerung

โดย Brian Jacques

 

ชีวิตไม่ใช่แสงแดดมากเท่ากับสายน้ำ

ชีวิตไม่ได้มั่นคงกับความเร็วของมันเหมือนที่แสงเป็น

บางครั้งชีวิตก็แช่มช้า บางครั้งก็วูบไหวไปรวดเร็ว ชีวิตจึงเหมือนกระเพื่อมของผืนน้ำ เป็นผืนน้ำที่เราคาดเดาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย…ว่าเมื่อไหร่มันจะเหือดแห้งลง

ความวูบไหวเกิดขึ้นเพราะสายน้ำล้อเล่นกับแสง และการรับรู้ของผู้ดูอย่างมนุษย์ก็เห็นว่านั่นคือการเริงระบำ แต่โดยเนื้อแท้แล้ว แสงแดดเพียงแต่สาดมา และโมเลกุลของน้ำก็เพียงแต่กระเพื่อมไป

ไม่มีอะไรตั้งใจจะให้เกิดอะไรขึ้น

มีเพียงความรับรู้และตีความของเราเท่านั้นเองที่เกิดขึ้นและดำเนินต่อไปเรื่อยๆ

การเริงระบำของแสงบนผิวน้ำจึงสอนให้เราเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงอันยากคาดเดาของสิ่งที่เรียกขานกันว่าความรัก

และความรักก็คือรากฐานของชีวิต,

เหมือนที่สายน้ำเป็น…