ในโอกาสครบรอบ 10 ปี ภาพยนตร์เรื่อง ‘รักแห่งสยาม’ เลยอยากนำบทวิจารณ์หนังเรื่องนี้ที่เคยเขียนไว้ในปี 2007 มา ‘รีรัน’ อีกครั้งหนึ่ง ปีนั้น ‘รักแห่งสยาม’ เป็นปรากฏการณ์ในหลายๆ ด้าน เผื่อใครยังไม่เคยดูหริอเพิ่งได้ดู จะได้ลองตีความหนังไปด้วยกันครับ
คุณเคยสงสัยไหมว่า เพราะอะไร ตัวละครใน ‘รักแห่งสยาม’ ถึงต้องเป็นคาทอลิกและเป็นเกย์
หลายปีก่อน เมื่อไปไอร์แลนด์ ผมเคยถามคุณป้าคนหนึ่งหลังแก้วเหล้าว่า ไอร์แลนด์ซึ่งเป็นดินแดนแห่งคาทอลิกนั้นมีเกย์ไหม และมีการรวมตัวกันของกลุ่มเกย์คาทอลิกเหมือนที่ออสเตรเลียบ้างไหม
คุณป้าแทบจะทำหน้าผีหลอกใส่ผม แล้วบอกผมว่า คำสองคำนี้เอารวมกันไม่ได้ เพราะมันไม่ ‘เมคเซนส์’ เอาเสียเลย เกย์กับคาทอลิก มันจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร ถ้าคุณเลือกที่จะเป็นเกย์ คุณก็ต้องไม่เป็นคาทอลิก แต่ถ้าคุณจะเป็นคาทอลิก คุณก็ต้องไม่เป็นเกย์
ผมพลันนึกขึ้นได้ ณ บัดดลว่า ถ้าคุณเป็นคาทอลิกอย่างเคร่งครัด ที่เดียวที่ผู้ชายจะหลั่งน้ำอสุจิใส่ได้ก็คือในช่องคลอดของภรรยาที่ ‘รับศีลสมรส’ หรือผ่านการแต่งงานกันมาอย่างถูกต้องตามพิธีต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าแล้วเท่านั้น แม้แต่การทำอัตกามกิริยาหรือใส่ถุงยางยังถือว่าผิดเลย สำมะหาอะไรกับการหลั่งน้ำอสุจิใส่ปากหรือทวารหนักของผู้ชายด้วยกัน ซึ่งแม้โดยมาตรฐานของสังคมรักต่างเพศทั่วไปก็ยังเห็นว่าเป็น Bad Sex
ด้วยเหตุนี้ สำหรับผม การที่ตัวละครใน ‘รักแห่งสยาม’ เป็นคาทอลิก และเป็นเกย์คาทอลิกด้วย จึงเป็นประเด็นที่ท้าทาย ตื่นเต้น และน่าพูดถึงมากที่สุด
เพราะนี่คือหนังไทยเรื่องแรกที่วิพากษ์ความเป็นคาทอลิกที่มีการควบคุมทางเพศอย่างเคร่งครัด เป็นประเด็นที่ไม่มีใครพูดถึง แต่ผมคิดว่าเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดของหนัง
1. คริสต์มาสและซานตาคลอส
ทำไมเรื่องคาทอลิกถึงเป็นประเด็นสำคัญที่สุดหรือครับ
ผมว่าคำตอบง่ายๆ อยู่ที่ผู้กำกับ ‘จงใจ’ จะทำประเด็นนี้ให้ ‘ดูเหมือน’ เป็นเรื่องที่ ‘พลาด’ ที่สุด และตอนแรกผมก็เกือบจะงับกับดักนี้เข้าให้แล้ว เพราะถ้าดูเผินๆ เราสามารถ ‘ตัด’ ทุกอย่างที่เกี่ยวกับคาทอลิกออกไปได้ทั้งหมด
เด็กสองคนไม่จำเป็นต้องมาเจอกันในโรงเรียนก็ได้เพราะบ้านอยู่ใกล้กันอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเกิดเรื่องใหญ่ตอนคริสต์มาส ไม่จำเป็นต้องมีฉากเล่นละครตอนพระกุมารประสูติ ไม่จำเป็นที่จะต้องสวดก่อนอาหาร และยิ่งไม่จำเป็นเลยที่ต้องให้มิวไปร้องเพลงในคอนเสิร์ตวันคริสต์มาส
การใส่ฉากเหล่านี้เข้ามาแทบจะทำให้หนังมีกลิ่นอายเมโลดราม่าของซีรีส์ฝรั่งดาษดื่นที่ทำกันทุกปลายปีไม่มีผิดเพี้ยน
แต่แล้ว, ด้วยความละเอียดในแง่มุมอื่นๆของผู้กำกับ (เช่นเรื่องการใช้สี การใช้สัญลักษณ์ผ่านตุ๊กตา ความพิถีพิถันในการแสดง ฯลฯ) ก็ได้ทำให้ผมรู้สึกว่า ยิ่งผู้กำกับใส่เรื่องที่ดู ‘ไม่จำเป็น’ เข้าไปมากเท่าไหร่ กลับยิ่งสะท้อนให้เห็นว่ามันเป็นเรื่อง ‘จำเป็น’ มากเท่านั้น
การใส่ประเด็นคาทอลิกลงไปในหนังโดยดูเหมือนไม่จำเป็นตอกย้ำให้คนดูรู้ว่า นี่คือหนังที่ผู้กำกับจงใจจะวิพากษ์ความเป็นคริสต์ และเน้นย้ำลึกลงไปถึงคริสต์แบบคาทอลิกโดยเฉพาะ!
ตอนเด็กๆ ผมเชื่อว่ามิวกับโต้งเรียนอยู่ในโรงเรียนคาทอลิก อาม่าของมิวนั้นอาจไม่ใช่คาทอลิก แต่เป็นคนจีนที่มีฐานะร่ำรวยและได้รับอิทธิพลจากตะวันตกอย่างสูง ไม่ว่าจะเป็นลวดลายวอลล์เปเปอร์ในบ้านหรือการเล่นเปียโน เผลอๆอากงหรือสามีของอาม่าอาจจะเป็นคาทอลิกก็ได้ แต่หนังไม่ได้กล่าวถึงอย่างชัดเจน เพียงแต่ละไว้ในฐานที่เข้าใจ ทว่าทั้งหมดคือการปูพื้นฐานให้เห็นเหตุผลที่มิวเข้าไปเรียนในโรงเรียนคาทอลิก โดยอาจจะเป็นหรือไม่เป็นคาทอลิกก็ได้
ส่วนโต้งนั้น การอยู่ในครอบครัวคาทอลิกที่เคร่งครัดทำให้ที่บ้านต้องส่งเขาเข้าเรียนในโรงเรียนคาทอลิกอยู่แล้วคล้ายเป็นไฟท์บังคับ ถ้าถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าครอบครัวของโต้งเป็นคาทอลิกที่เคร่งครัด คำตอบอยู่ที่การสวดก่อนอาหาร ซึ่งปัจจุบันคาทอลิกส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ปฏิบัติ ยกเว้นในครอบครัวที่เคร่งจริงๆเท่านั้น
ความงามของหนังเรื่องนี้อยู่ตรงนี้
อยู่ตรงที่ผู้กำกับสร้างปม ‘ความขัดแย้ง’ ที่รุนแรงมากขึ้นมา แต่กลบเกลื่อนให้เหลืออยู่เพียงจางๆอย่างแนบเนียน แฝงอยู่เฉพาะในบรรยากาศโดยไม่มีใครเอ่ยปากขึ้นมาตรงๆ ซึ่งนั่นทำให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัสกับหัวใจของคนดูได้โดยไม่รู้ตัว
โรงเรียนที่เด็กทั้งสองเข้าเรียน มีชื่อว่าเซนต์นิโคลัส ซึ่งชื่อก็บอกเต็มตัวอยู่แล้วว่าเป็นโรงเรียนคาทอลิก โรงเรียนเซนต์นิโคลัสจึงกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญ ผมเข้าใจว่าไม่น่าจะมีโรงเรียนชื่อนี้อยู่ในกรุงเทพฯ หรือถ้ามีก็ไม่น่าจะอยู่แถวๆสยามสแควร์แน่ๆ โรงเรียนนี้จึงเป็นสถานที่สมมุติที่ซ้อนอยู่กับสถานที่จริงอย่างสยามสแควร์ และเป็นความจงใจที่ใส่เข้ามาเพื่อให้ผู้ชมสะดุดอย่างชัดเจน
ทำไมต้องเป็นเซนต์นิโคลัส?
เซนต์นิโคลัสนั้น ที่จริงแล้วเป็นชื่อจริงของ ‘ซานตาคลอส’ ยังไงล่ะครับ
สำหรับคนไทย ซานตาคลอสคือสัญลักษณ์ของคริสต์มาส ขณะที่คริสต์มาสเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์!
ครอบครัวของโต้งส่งโต้งเข้าเรียนในโรงเรียนเซนต์นิโคลัส ก็แปลว่าเขาต้องการให้ลูกได้รับการอบรมกล่อมเกลาในแบบคาทอลิกแท้ๆที่ต้องมีการเรียนคำสอนทุกวันมาตั้งแต่เด็ก นั่นขยายความให้ลึกขึ้นได้ว่า โต้งเองก็ต้องมี ‘ราก’ แบบคาทอลิก ที่จะมากจะน้อยก็เชื่อในพระเจ้าและมี ‘ความกลัว’ บางแบบฝังอยู่ในหัวใจเหมือนที่ชาวยิวกลัวพระเจ้าจะลงโทษถ้าทำผิด
และนั่นส่งผลสะเทือนมาถึงตอนจบของเรื่อง-ตอนจบที่คนดูบอกว่าเศร้าเหลือเกินนั่นแหละครับ
อย่างไรก็ดี การหายตัวไปของแตง-พี่สาวของโต้ง ทำให้ครอบครัวของโต้งเจ็บปวดจนต้องย้ายที่อยู่ เขาจึงถูกพรากไป ไม่ใช่พรากไปจากมิว แต่พรากไปจากโรงเรียนเซนต์นิโคลัส ซึ่งก็คือการพรากไปจากความเชื่อมั่นศรัทธาในแบบคริสตชน เรื่องนี้จะเห็นได้จากการที่ครอบครัวของโต้งไม่สวดก่อนอาหารอีกต่อไป การหายตัวไปของแตงทำให้ทั้งพ่อและแม่ (โดยเฉพาะพ่อ) ไม่เหลือศรัทธาในพระเจ้าและศาสนจักรอีก
เมื่อเราได้พบกับโต้งอีกครั้งในตอนโต เขาจึงเรียนอยู่ในโรงเรียนอะไรสักอย่างที่ผมเชื่อว่าไม่ใช่โรงเรียนคาทอลิก โดยดูจากชุดนักเรียนกางเกงสีดำ (ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นโรงเรียนรัฐบาล) สะท้อนให้เห็นถึงศรัทธาในศาสนาที่ครอบครัวนี้สูญเสียไปซ้ำอีกครั้ง โต้งจึงสามารถเรียนโรงเรียนอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นโรงเรียนคาทอลิก
แต่มิว (ซึ่งไม่น่าจะใช่คาทอลิก) ยังเรียนอยู่ที่เซนต์นิโคลัส ปลูกฝังและเติบโตขึ้นมากับดนตรีที่เขารักและได้รับการถ่ายทอดมาจากอาม่า โดยสัญลักษณ์แล้ว เขาจึงยังอยู่กับความเป็นคาทอลิก ไม่ว่าจะเป็นคาทอลิกหรือไม่ก็ตาม
2. ความรักและคาทอลิก
เมื่อความรักถือกำเนิดขึ้น เด็กชายทั้งคู่เลือกเดินตามมันไป
สำหรับชาวคริสต์ แก่นสำคัญของศาสนาก็คือความรัก ดังนั้น เมื่อเด็กผู้ชายทั้งสองรักกัน จึงไม่น่าจะมีอะไรเป็นอุปสรรค
แต่ที่จริง ความเป็นคาทอลิกเองกลับกลายมาเป็นอุปสรรคสำคัญในความรักของคนทั้งสอง แน่นอนว่าย่อม มีความจริงอยู่ในความรักตั้งมากมาย แต่กรอบใหญ่ของชีวิตบางกรอบก็พยายามขีดเส้นกั้นให้ ความจริง บางอย่างเหนือกว่าบางอย่าง ความรักจึงมักถูกตีวงให้ต้องจำกัดตัวเองตามไปด้วย
สำหรับโต้ง ครั้งหนึ่งคริสต์มาสเคยหมายถึงการสิ้นสุด เขาเล่นละครเป็นลูกแกะอยู่บนเวที แต่แล้วเขาก็ต้องถูกบังคับให้พรากจากนายชุมพาบาลของตัวเองไป เขาต้องจากโรงเรียน จากเซนต์นิโคลัส จากเพื่อน และจากแม้กระทั่งความรักความอบอุ่นของครอบครัวตัวเองไปในวันคริสต์มาสนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่โต้งจะไม่ตื่นเต้นยินดีอะไรนักกับการจัดต้นคริสต์มาสของแม่ แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังพกเอาความเป็นคาทอลิกเอาไว้ในตัวเต็มเปี่ยมเหมือนต้นไม้ที่ฝังรากลึกอยู่ในดิน
และแล้ว, คริสต์มาสอีกครั้งหนึ่งก็ได้ทำให้เขาต้องตัดสินใจ คริสต์มาสที่พกเอาความเป็นคาทอลิกไว้ในตัวเต็มเปี่ยมไม่เพียงเคยทำให้ใครบางคนหล่นหายไปจากชีวิตของเขา แต่ความเป็นคาทอลิกยังรั้งเขาไว้ไม่ให้ย้อนกลับไปสานสัมพันธ์กับคนคนนั้นต่ออีกด้วย
หลายคนคาใจว่า เหตุใดเมื่อแม่ของโต้งอนุญาตกลายๆแล้วว่าให้เขาเลือกสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุด เขาจึงยังไม่เลือกที่จะคบกับมิวในฐานะแฟนอีก ผมคิดว่าประโยคสั้นๆที่โต้งบอกมิวในตอนท้ายว่า-เขาไม่อาจคบมิวในฐานะแฟนได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รักมิว-นั้น, เป็นประโยคที่สรุปความเป็นเกย์คาทอลิกเอาไว้ได้ชัดเจนหมดจดที่สุด
ความเป็นคาทอลิกได้เอื้อมมือที่มองไม่เห็นเข้ามาเหนี่ยวรั้งความรักแบบเกย์ของโต้งเอาไว้ เขาจึงไม่อาจเดินต่อไปบนหนทางของความรักแบบนี้ได้ การเป็น ‘แฟน’ ของผู้ชายกับผู้ชายถือเป็นเรื่องผิดสำหรับคาทอลิก แต่โต้งก็ฉลาดพอที่จะบอกมิวว่า ถึงจะมีเงื่อนไขนี้ค้ำคออยู่ แต่เขาก็ยังสามารถ ‘รัก’ มิวได้
มันเป็นการลดเลี้ยวเพื่อหลีกหนีออกจากกรอบกั้นที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของเด็กผู้ชายคาทอลิกที่รักกับเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่ง สิ่งที่หนังได้ทำลงไป จึงเป็นการวิพากษ์ความขัดแย้งในการตีความเรื่องความรักของศาสนจักรคาทอลิกอย่างแนบเนียนและแยบยล
มิวไม่ใช่คาทอลิก แต่มิวคือตัวแทนของ ‘ซานตาคลอส’ ผ่านการเป็นนักเรียนโรงเรียนเซนต์นิโคลัส (เฮ้ย! ได้ข่าวว่ามึงไปคบกับเด็กโรงเรียนเซนต์นิโคลัสเหรอวะ – เพื่อนของโต้งเคยถามอย่างนั้น) ด้วยเหตุนี้ มิวจึงเป็นซานตาคลอสของโต้งมาโดยตลอด แม้มิวจะรับตุ๊กตาไม้ตัวนั้นมาจากโต้ง แต่มิวกลับคือผู้ให้ เป็นส่วนเติมเต็มของโต้ง เป็นความชื่นชมยินดีที่เหลืออยู่เพียงสิ่งเดียวในชีวิตของโต้ง
ถ้าคุณมองดูบ้านของโต้ง คุณจะพบบ้านที่มีเฟอร์นิเจอร์เพียงน้อยชิ้น มันคือบ้านที่แลดูรกร้างว่างเปล่าไม่ผิดอะไรกับจิตวิญญาณที่ว่างเปล่าของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง บ้านของโต้งดูมีฐานะร่ำรวย แต่ไม่เหลือความอบอุ่นอะไรอีกแล้ว ขณะที่มิวอยู่คนเดียว แต่บ้านของมิวกลับแลดูอบอุ่นอย่างประหลาด ผ้าปูที่นอนสีเขียวดูมีชีวิต เช่นเดียวกับคีย์บอร์ดและเสียงเพลง รวมถึงรูปถ่ายที่เป็นร่องรอยความอบอุ่นในอดีต เขายังได้สวัสดีอาม่าก่อนไปเรียน แม้อาม่าจะเหลือเพียงภาพถ่ายก็ตาม แต่โต้งไม่มีสิ่งเหล่านี้ มันหายไปพร้อมกับแตง
คำถามก็คือ ระหว่างมิวกับโต้ง ใครเป็น ‘คาทอลิก’ มากกว่ากัน?
ถ้าดูจาก ‘ฟอร์ม’ หรือรูปแบบภายนอก แน่นอน-โต้งย่อมเป็นคาทอลิกมากกว่า แม้เขาจะเรียนโรงเรียนรัฐบาล แต่ที่บ้านก็เป็นคาทอลิกแน่ๆ
แต่ถ้าดูจาก ‘สาระ’ ของชีวิตเล่า แม้มิวจะบอกว่าเหงา แต่ผมไม่รู้สึกเลยว่าเขาเหงา เขามีเพื่อน มีจิตวิญญาณของผู้ชราที่ล่วงลับล่องลอยเป็น ‘เพื่อน’ (เหมือนที่อาม่าเรียกเขา) อยู่เสมอ ชีวิตของมิวจึงอบอวลด้วยความรัก
และความรักก็คือสาระที่แท้ของการเป็นคาทอลิก
จึงเหมาะสมแล้ว ที่มิวจะใส่เสื้อนักเรียนที่ปักอักษรย่อว่า ซ.น.ค.
เพราะเขาคือซานตาคลอสของโต้ง
3. กรอบที่กักขัง
ในฉากโต้งกลับบ้านมานอน และสินจัยเปิดประตูห้องนอนของโต้งเข้ามาหลังตามหาลูกชายมาทั้งคืน เราจะเห็นโปสเตอร์บนหัวนอนของโต้งเป็นรูปไม้กางเขน มีถ้อยคำเขียนว่า I Believe ซึ่งแปลว่า ฉันเชื่อ หรือฉันศรัทธา
สีพื้นของโปสเตอร์นั้นมีสีเขียว ซึ่งในหนังให้เป็นสีของมิว โดยนัยนี้ มิวและความเป็นคาทอลิก จึงหลอมรวมเข้าหากันและกัน และวางตัวอยู่ใกล้ชิดกับโต้งมากกว่าที่ใครๆคิด
ผู้กำกับใส่สัญลักษณ์ต่างๆเข้ามาอย่างอ่อนโยน เมื่อมองในด้านกลับ ผมเลยอดคิดไม่ได้ว่าการโปรโมทหนังแบบจงใจลวงโดยไม่ใส่เรื่องเกย์เข้ามาเลยนั้นน่าจะเป็นเสมือนการร้องขอความเข้าใจที่นุ่มนวลจากสังคมโฮโมโฟเบียมากกว่าการจงใจหลอก เช่นกันกับการทำให้มิวมีความเป็นคาทอลิกอยู่ในตัวมากกว่าโต้ง ก็คือการสลับสาระกับรูปแบบ
และการ ‘สลับ’ นี้ ก็ปรากฏอยู่ในเรื่องให้เห็นเป็นระยะ เช่นหน้าตาของมิวและโต้งในวัยเด็กกับวัยรุ่น คนที่อยู่กับโต้งตอนที่โต้งจะซื้อจมูกตุ๊กตาให้มิว (คือโดนัทกับหญิง) การสลับ ‘คุณค่า’ กับ ‘ราคา’ ที่แพงขึ้นผ่านกาลเวลาของตุ๊กตาตัวนั้น การสลับบทบาทในครอบครัวของสินจัยและทรงสิทธิ์ การที่มิวลุกขึ้นร้องเพลงบนเวทีทั้งที่บอกว่าร้องไม่ได้อีกต่อไปแล้ว การสอดใส่ ‘จมูก’ ของตุ๊กตาของเล่นที่ไม่พอดีในตอนจบ และแม้แต่การทำให้ต้นคริสต์มาสในบ้านของโต้งมองดูสูงชะลูดคล้ายเป็น phallic symbol ทั้งยังดูหดหู่ผิดจากต้นคริสต์มาสทั่วไป
การสลับสิ่งเหล่านี้ แง่หนึ่งทำให้เกิดความขัดแย้ง บางครั้งเกือบจะฉูดฉาด ทว่าผู้กำกับควบคุมไว้ได้ให้มันนวลเนียน แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ผมรู้สึกคล้ายกับว่าหนังต้องการให้เรามองโลกใบเดิม (เช่น ‘สยาม’ ซึ่งสุดแสนจะ Cliché ไม่ว่าจะหมายถึงสยามสแควร์หรือสยามประเทศ) เสียใหม่ ด้วยการหยิบคุณค่าความหมายใหม่ๆใส่เข้ามา หรือถ้าหาคุณค่าความหมายใหม่ไม่ได้ในโลกใบที่ทุกอย่างซับซ้อนสับสนและไม่มีใครค้นพบอะไรใหม่ ก็อาจทำเพียงมองมันสลับที่กันบ้างเท่านั้นเอง เพียงเท่านั้น-บางครั้งก็อาจทำให้ชีวิตน่าอยู่มากขึ้น ไม่เปล่าดายจนเกินไป และอาจมีความเหงาในหัวใจน้อยลง
บางทีเราก็ไม่อาจต่อกรกับกรอบใหญ่ๆในชีวิตได้ทั้งหมด มือที่มองไม่เห็นมักยื่นเข้ามาควบคุมเราอยู่เสมอ การสลับที่ของบทบาทและความหมายเหล่านี้ จึงเป็นการปฏิวัติเงียบต่อโครงสร้างใหญ่ที่กดทับเราอยู่ สำหรับผม หนังเรื่องนี้คือการตะโกนใส่หน้าศาสนจักรคาทอลิกว่าฉันจะรัก เพราะความรักคือเนื้อแท้ของมนุษย์ และเป็นเนื้อแท้ของความเป็นคาทอลิกด้วย
ใครที่บอกว่า วัยรุ่นสมัยใหม่สนใจแต่ตัวเองลองคิดดูอีกทีหนึ่งนะครับ เพราะแม้ในหนังเรื่องนี้ที่มีท่าที ‘พูดถึงตัวเอง’ เต็มที่ ก็ยังแอบแฝงการวิพากษ์โครงสร้างใหญ่ชนิดที่คนรุ่นก่อนไม่เคยกล้าทำเอาไว้ได้อย่างน่าทึ่ง
หนังเรื่องนี้คือการประกาศว่ามีเกย์คาทอลิกอยู่ในโลกนี้จริงๆ และพวกเขาคือเกย์คาทอลิก
ไม่ว่าจะพลิกดูจากความหมายไหน!