ฮัลโลวีนเป็นวันที่มีกำเนิดซับซ้อน
[จริงๆเบื่อตัวเองที่ชอบบอกว่าไอ้นั่นก็ซับซ้อน ไอ้นี่ก็ซับซ้อน แต่ต้องบอกว่าแทบทุกเรื่องมันซับซ้อนจน ‘เลือกข้าง’ ไม่ได้ง่ายๆนักหรอกครับ แล้วพอเลือกข้างไม่ได้ ก็จะถูกหาว่าชอบลอยตัว ซึ่งก็ไม่เป็นไร]
เอาใหม่…ฮัลโลวีนเป็นวันที่มีกำเนิดซับซ้อน เป็นวันที่ทั้งเกี่ยวและไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความเชื่อทางศาสนา จริงๆ วันสำคัญกว่าคือวันที่ 1 และ 2 พฤศจิกายนนะครับ วันที่ 1 คือวัน All Saints’ Day (คือวันฉลองนักบุญทั้งหลาย) วันที่ 2 คือวัน All Souls’ Day คือวันฉลองวิญญาณทั้งหลาย) โดยนัยของสองวันนี้ก็คือ วันที่ 1 เป็นวันที่บอกว่าเราควรเอาเยี่ยงอย่างพวกนักบุญในสวรรค์ยังไงบ้าง ส่วนวันที่ 2 ก็คือ สำหรับวิญญาณทั้งหลายที่อยู่ๆกันทั้งในโลกนี้และในไฟชำระนี่ เราก็ควรจะมีเมตตาต่อกันนะจ๊ะ (อะไรทำนองนี้)
ทีนี้วันฉลองนักบุญทั้งหลายน่ะนะครับ มันมีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่าวัน All Hallows’ Day หรือเรียกว่า Hallowmas ซึ่งคล้ายๆคริสต์มาสนั่นแหละครับ แต่เป็นฮัลโลมาส แล้วถ้าคริสต์มาสมีคริสต์มาสอีฟ (คือคืนก่อนคริสต์มาส) ได้ วันฮัลโลมาสก็ต้องมีคืนก่อนวันฮัลโลได้ด้วย เขาเรียกว่าวันออลฮัลโลอีฟ ซึ่งในที่สุดก็เกิด contraction ของเสียง จนกลายมาเป็น Hallowe’en (มาจาก Hallos’ Evening หรือ Eve) แล้วก็กลายมาเป็นฮัลโลวีนในที่สุด
เพราะฉะนั้น ในทางศาสนา วันฮัลโลวีนที่เชื่อกันว่าเป็นวันปล่อยผีอะไรนี่ เลยไม่ได้มีอยู่จริงๆนะครับ แล้วเอาเข้าจริง เขาบอกกันว่า ธรรมเนียมแต่งตัวอะไรนี่ เดิมทีเดียวเป็นของพวก pagan หรือพวกนอกรีต (คำนี้เหยียดๆเนอะ) ด้วยซ้ำ โดยจริงๆแล้วเริ่มมาจากพวกเกลิก (Gaelic) ในไอร์แลนด์หรือสก็อตแลนด์ ที่จะเป็นวันฉลองการสิ้นสุดของฤดูร้อน (Summer’s End) ซึ่งมีกันมาก่อนแล้ว ก่อนที่ศาสนาคริสต์จะเข้ามาถึงดินแดนแถบนั้น (แล้วก็ไปว่าเขาว่าเป็น pagan นอกรีต) โดยจะฉลองกันในคืนวันที่ 31 ต.ค. นี่แหละครับ
ทีนี้พอศาสนาคริสต์เข้าไป ก็เลยต้องไป ‘กลืน’ ธรรมเนียมพื้นเมือง ด้วยการทำให้วันฉลองนี้เข้ากันได้กับธรรมเนียมของตัวเอง (เรียกว่าไป Christianize วันฉลองนี้) ให้กลายมาเป็นวันฮัลโลวีนในที่สุด ซึ่งก็ประสบความสำเร็จดีเสียด้วย เรื่องนี้เขาบอกว่าให้ดูหลักฐานจากการที่คนอเมริกันฉลองฮัลโลวีนมากกว่าคนยุโรป (คนยุโรปไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่) เพราะคนไอริชอพยพไปอยู่อเมริกากันมาก (สมัยเกิดภัยมันฝรั่งเน่า) ก็เลยเอาทั้งวันเซนต์แพททริคและธรรมเนียมฮัลโลวีนติดไปด้วย
ฟังเรื่องนี้แล้วนึกถึงภูพระบาท ที่เมื่อก่อนคนแถบนั้นก็นับถือผี มีการสร้างเสาหินแบบบูชาผี แล้วพอพุทธศาสนาเข้ามา ก็เข้ามาเกลื่อนกลืนกันจนทำให้เสาหินเปลี่ยนไปเป็นเสมาธรรมจักร หรือเรื่องของนาคที่เป็นความเชื่อพื้นบ้าน ที่พอพุทธศาสนาเข้ามาก็ทำให้นาคกลายเป็นส่วนหนึ่งของพุทธไปด้วย (เช่นเรื่องเล่าของพระอุปคุต ซึ่งพิสดารมากจนไม่กล้าเล่าเอาไว้ตรงนี้) หรือการที่นาคไปอยู่ในโบสถ์ เป็นต้น
จริงๆคำอธิบายฮัลโลวีนที่ว่ามา เป็นแค่คำอธิบายหนึ่งเท่านั้นนะครับ ยังมีคำอธิบายอื่นด้วย ซึ่งมันก็เถียงกันไปเถียงกันมาเป็นที่ซับซ้อนน่าเวียนหัวเอามากๆเหมือนกันกับทุกๆเรื่องในโลกนี้นี่แหละ
ถึงได้บอกว่ามันซับซ้อนไงครับ