การคัดลายมือของคุณลุงคนหนึ่ง

เมื่อเช้านี้ คุณลุงชาวญี่ปุ่นที่โต๊ะข้างๆ ในร้านกาแฟแห่งนั้นนั่งอยู่ตามลำพัง คุณลุงดูโดดเดี่ยว แต่ก็เป็นไปได้เช่นกัน ที่คุณลุงอาจไม่ได้รู้สึกเหงาเหมือนความรู้สึกปั้นแต่งของผู้พบเห็นหรอก

คุณเห็นคุณลุงจดอะไรบางอย่างลงไปในสมุดเล่มนั้นอยู่นานแสนนาน นานจนคุณสงสัย และลอบชำเลืองมองคุณลุงด้วยหางตา

แล้วคุณก็พบว่า คุณลุงไม่ได้กำลังจดจารความทรงจำของอดีตหรือปัจจุบันลงไปในสมุดเล่มนั้นหรอก ทว่าคุณลุงกำลังคัดลายมืออยู่ต่างหาก

คุณอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก แต่คุณรู้ว่านั่นคือการคัดลายมือ เพราะทุกรูปรอยลายเส้นเป็นระเบียบเรียงราย ชัดเจนกระจ่างเหมือนกันทุกแถว มันเหมือนการคัดลายมือของเด็กอนุบาลที่กำลังเตรียมตัวเพื่อที่จะมีชีวิต

แล้วคุณก็สงสัย, คุณลุงคัดลายมือเพื่ออะไรกัน

คุณไม่ได้เอ่ยถาม เพราะคุณพูดภาษาญี่ปุ่นไม่เป็น และไม่อยากขัดจังหวะการคัดลายมือของคุณลุง คุณจึงได้แต่จิบกาแฟของตัวเองไปช้าๆ พลางแอบมองการขยับมือเป็นจังหวะของคุณลุงเป็นระยะๆ

เป็นไปได้ไหม ที่เมื่อเราเดินทางมาถึงสนธยากาลแห่งชีวิต การคัดลายมืออาจกลายเป็นสิ่งจำเป็นอีกครั้ง

เปล่า – ไม่ได้จำเป็นเพื่อตระเตรียมเราสู่การมีชีวิตอีกครั้งเหมือนในวัยเด็กหรอก แต่เพื่อเหนี่ยวรั้งเราไว้ไม่ให้เดินทางสู่ดินแดนที่เราไม่รู้จักรวดเร็วเกินไปต่างหาก

คุณนึกไม่ออกเลยว่า เมื่อทุกสิ่งพ้นผ่านไปจากชีวิตแล้ว คุณจะดำรงอยู่ต่อไปอย่างไร เมื่อคุณไม่มีอะไรหลงเหลือในชีวิตอีก ทุกอย่างผ่านไปกลายเป็นอดีต ความรัก ความสัมพันธ์ ความโกรธแค้นชิงชัง ความร้อนระอุในเลือดเนื้อของวัยหนุ่ม เมื่อเถ้าถ่านที่เคยคุกรุ่นมอดดับ เมื่อโดปามีนไม่หลั่งออกมาให้สมองได้เสพกินอีกแล้ว ความร้อนแรงที่ไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือดเยียบเย็นลง คุณไม่กระตือรือร้นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก ชีวิตที่เหลืออยู่คือการดำรงอยู่เพียงลำพัง แล้วจะยังมีอะไรที่มีความหมายไหม

คุณถามตัวเองอย่างนั้น และกริ่งเกรงเหลือเกินที่จะตอบ

เราอาจคิดว่า เราจำเป็นต้องคัดลายมือในวัยเด็กเพื่อตระเตรียมที่จะมีชีวิต แต่เราในวัยเด็กไม่เคยถามตัวเองเลยว่า เราตระเตรียมที่จะมีชีวิตไปเพื่ออะไร เพื่อที่วันหนึ่ง เมื่อตะวันคล้อยลง เราจะต้องย้อนกลับมานั่งคัดลายมืออีกครั้งใช่ไหม คัดลายมือ, เพื่อให้กล้ามเนื้อมืออ่อนแรงช้าลง สมองอ่อนล้าช้า และวันวัยดำเนินไปช้าลง

แต่เราเหนี่ยวรั้งมันได้จริงหรือ

เมื่อคัดลายมือจนถึงบรรทัดสุดท้าย คุณลุงเรียกเก็บเงิน พับสมุดเล่มนั้นใส่ลงไปในเป้ใบบาง สะพายเป้ แล้วออกเดินจากร้านไปเงียบงันในฝนโอกินาวาที่พรำลงมาอ่อนเบา

คุณลุงอาจไม่ได้เหงา แต่คุณนั่นแหละที่เหงา ไม่ใช่ความเหงาเพราะคิดถึงคนรัก ไม่ใช่เหงาเพราะอยู่ลำพังในหมู่ผู้คน แต่เหงาเพราะคุณรู้ขึ้นมาในนาทีนั้น – รู้ว่าไม่มีอะไรเลยที่มีความหมาย, แม้แต่ตัวความหมายเอง

เราต่างอยู่ในจักรวาลส่วนตัว จักรวาลเดียวดายที่จะไม่มีวันกลายกลืนเป็นของกันและกันได้ เราคือพระเจ้าเศร้าสร้อยผู้อยู่ลำพังในจักรวาลที่สร้างขึ้นมาเอง คุณและคุณลุงเกิดมาเพียงลำพัง คัดลายมือลำพัง ตระเตรียมและจำต้องรับมือกับการมีชีวิตอยู่และการละทิ้งไปจากชีวิตนี้เพียงลำพัง ทั้งเสมอมาและตลอดไป – ไม่ว่าจะกี่ครั้งกี่คราวกี่ล้านครั้ง

เมื่อคุณลุงเดินออกไปจากร้าน คุณได้แต่สงสัยว่า คุณลุงจะทำอะไรกับเวลาที่ยังเหลืออยู่ในวันนั้นบ้าง ที่จริงก็ไม่ใช่แค่กับวันนั้นเท่านั้น แต่หมายรวมถึงทุกวันที่ยังเหลืออยู่ในชีวิต

เมื่อจิบกาแฟเป็นครั้งสุดท้าย คุณก็ตระหนักแน่ในตอนนั้นเอง ว่าคุณไม่ได้ตั้งคำถามนั้นกับคุณลุงหรอก,

คุณกำลังตั้งคำถามกับตัวเองต่างหาก