เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง ขับรถของเธออยู่ดีๆ ก็มีรถหรูคันหนึ่งขับตามมาเรื่อยๆ เธอเอะใจสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น จึงไม่ยอมขับรถเข้าซอยบ้าน เพราะไม่อยากให้คนแปลกหน้าในรถหรูคันนั้นรู้ว่าบ้านของเธออยู่ที่ไหน
ครั้นถึงหน้าปากซอยที่มีป้อมยามและไฟสว่าง เธอจึงจอดรถเพื่อดูท่าที ปรากฏว่า รถหรูคันนั้นก็จอดด้วย แล้วคนขับที่เป็นผู้ชายก็เดินลงมาจากรถ ทำท่าอยากคุยกับเธอ เธอจึงกดกระจกลงมาเล็กน้อยราวหนึ่งคืบ ผู้ชายคนนั้นถามว่า จะขอเข้าไปส่งเธอที่บ้านได้ไหม
แน่นอน-เธอตอบว่าไม่ได้ เธอไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่วินาทีนั้นเอง คนคนนั้นก็ทำสิ่งที่เธอคิดไม่ถึง เขาเอื้อมมือผ่านช่องกระจกเข้ามาบีบหน้าอกของเธอ เธอต้องจับแขนคนคนนั้นจิกด้วยเล็บจนเลือดซิบนั่นแล้ว เขาถึงยอมปล่อย และเมื่อเธอเปิดประตูรถออกไปเรียกยาม จึงขึ้นรถขับหนีไป
ยามให้เหตุผลที่ไม่เข้ามาช่วยเหลือแต่แรกว่า “ผมจะไปรู้ได้ไงล่ะครับ เผื่อเป็นเรื่องผัวเมียกันผมก็ซวยน่ะสิ”
คนรู้จักอีกคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า แถวๆเอกมัย บนถนนใหญ่กลางวันสว่างจ้า ผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวเรียบร้อยเดินตามปกติไปตามถนน
จู่ๆก็มีผู้ชายขี่มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขี่ผ่านหน้าเธอไป ผู้ชายคนนั้นมองเธอเหลียวหลัง และเมื่อขี่ผ่านไปสักห้าสิบเมตรก็หยุดรถ ก่อนวกกลับมาที่ผู้หญิงคนนั้นใหม่
แล้วคนคนนั้นก็เอื้อมมือมาบีบหน้าอกเธอหน้าตาเฉย ก่อนขี่มอเตอร์ไซค์ไปต่อหน้าตาเฉยยิ่งขึ้น ทิ้งให้ผู้หญิงเอะอะโวยวายอยู่ริมถนนตามลำพัง
เรื่องเหล่านี้ทำให้คุณสงสัยไหม ว่าเราอยู่ในสังคมแบบไหนกัน
เป็นสังคมแบบไหนหรือ ที่ผลิตเรื่องต่ำทรามเลวร้ายเหล่านี้ออกมาได้ไม่เว้นแต่ละวัน
เป็นสังคมแบบไหนหรือ ที่ผู้ชายคิดว่าตัวเองมีสิทธิ ‘จับนม’ ผู้หญิงได้อย่างชอบธรรม
เราเคยเชื่อว่าตัวเองเป็นสังคมพุทธ เป็นสังคมที่มี ‘วัฒนธรรมไทย’ อันแสนดีค้ำจุนอยู่ แล้วสังคมที่ดีขนาดนี้ ผลิตความรุนแรงต่ำทรามขนาดนี้หรือยิ่งกว่านี้ – ออกมาได้อย่างไรกัน
นั่นคือคำถาม – ที่อาจไร้คำตอบโดยสิ้นเชิงก็ได้