หนังสือสองเล่ม – ว่าด้วยคนประสบความสำเร็จในชีวิตที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย

ผมเคยแปลหนังสือว่าด้วยคนประสบความสำเร็จในชีวิต แต่แล้วก็รู้ตัวว่าต้องตายในอีกไม่ช้าสองเล่ม

เล่มแรกคือ Chasing Daylight : How My Forthcoming Death Transformed My Life หรือ ‘ไล่ล่าแสงตะวัน’ ของสำนักพิมพ์แม็คกรอว์ฮิล

cover1

หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องของยูจีน โอเคลลี่ ซีอีโอของบริษัทยักษ์ใหญ่ KPMG ที่ป่วยเป็นมะเร็งในสมองและจะต้องตายในไม่ช้า สิ่งที่เขาค้นพบก่อนตายนั้นยิ่งใหญ่ลึกซึ้งมาก คือเรื่องที่พูดง่ายๆ แต่ถ้าไม่ ‘จะตาย’ ก็คงทำได้ยาก นั่นคือการอยู่กับ present moment ให้ได้

เขาบอกว่า ในฐานะซีอีโอของบริษัทยักษ์ใหญ่ เขาไม่เคยอยู่กับปัจจุบันเลย ส่วนใหญ่เขาอยู่กับอนาคตอย่างน้อยหกเดือน ด้วยการวางแผนการชีวิตและการทำงานล่วงหน้า ดังนั้น เมื่อเขารู้ตัวว่าจะต้องตาย เขาจึงหยุดทุกอย่าง เพื่ออยู่กับ ‘ปัจจุบันขณะ’ อันแสนงาม

เขาวางแผนการอำลาผู้คนในชีวิต ด้วยการแบ่งคนออกเป็นวงต่างๆ แล้วอำลาคนวงนอกสุดก่อน จนเหลือคนวงในที่เขารักที่สุดในชีวิต และที่สุดแล้ว เขาก็อยู่กับความตายเพียงลำพัง เผชิญหน้า ยอมรับ และโอบกอดความตายและชั่วขณะนั้นของเขา

แน่นอน ที่สุดแล้วยูจีนก็ตาย และท้ายเล่มก็เป็นคนที่เขารักที่สุดคือภรรยา มาเขียนถึงเขา

 


 

เล่มที่สองคือ When Breath Becomes Air โดย พอล คาลานิธี ของสำนักพิมพ์โอเพนเวิลด์

3efbca_d6e441d1eb7645389180cef0f49b1871~mv2

เรื่องของประสาทศัลยแพทย์ที่กำลังจะเสร็จสิ้นการเป็นแพทย์ประจำบ้าน อนาคตรุ่งโรจน์สดใสรออยู่

แต่แล้วเขาก็ปวดหลังอย่างหาที่สุดมิได้ และค้นพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งปอด ทุกอย่างที่วาดหวังไว้จึงดับสูญลง

ข้อดีของความป่วยไข้นี้มีเพียงอย่างเดียว นั่นคือเขาซึ่งกำลังระหองระแหงกับภรรยา ได้กลับมาคืนดี เห็นอกเห็นใจ และร่วมกันต่อสู้กับโรคร้าย กระทั่งกลับกลายเป็นครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ ทะนุถนอม และดูแลซึ่งกันและกันอีกครั้งหนึ่ง

นอกจากงานด้านการแพทย์ เขายังมีอีกฝันหนึ่ง คือฝันจะเป็นนักเขียน เขาเคยเรียนวรรณคดีมาก่อนจะเป็นแพทย์ ดังนั้นหนังสือเล่าเรื่องของตัวเองเล่มนี้จึงสำคัญกับเขามาก เขาใช้ทุกสิ่งที่ได้เรียนรู้ทั้งในฐานะแพทย์และนักอักษรศาสตร์มาทำให้หนังสือเล่มนี้งดงามน่าทึ่ง

แต่ก็ต้องจบบทสุดท้ายด้วยการเขียนของภรรยาของเขา ภรรยาผู้รักเขาที่สุด แต่กระนั้นก็ยังเป็น ‘คนอื่น’ ที่ไม่อาจล่วงรู้และอยู่ร่วมในความตายของเขาได้ – เช่นเดียวกับหนังสือของยูจีน

 


 

ทั้งยูจีนและพอลได้ทำสิ่งที่ผมอยากทำ คือตายในขณะเขียนหนังสือ หรือพูดอีกอย่างก็คือ ได้เขียนหนังสือเป็นสิ่งสุดท้ายในชีวิต แต่กระนั้น พวกเขาก็ต้องปล่อยให้คนอื่นๆที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นผู้ ‘จบ’ หนังสือนั้นๆโดยไม่อาจรู้ได้เลย-ว่าหนังสือของพวกเขาจะมีตอนจบอย่างไร

มีแต่นักเขียนเรื่องแต่งเท่านั้นที่รู้ตอนจบของนิยายว่าจะจบเศร้าหรือจบสุข

แต่เรื่องอันแสนจริงก็คือ – ไม่มีใครรู้อะไรเลย