รีวิวละคร Teenage Wasteland : ในดินแดนสูญเปล่าอันโสโครกความจริง

ไปดูละคร Teenage Wasteland : Summer, Star and the (Lost) Chrysanthemum มาครับ

ละครเหมือนจะซับซ้อนด้วยสามสี่เส้นเรื่อง ทุกเส้นเรื่องเหมือนการค่อยๆ ดูศิลปินลากปากกาดรอว์อิ้งเป็นลวดลาย

แรกเริ่มทีเดียวคุณจะไม่รู้หรอก ว่ารูปที่วาดออกมานั้น ที่สุดแล้วจะเป็นอะไร แต่มันจะค่อยๆ ถักทอ ร้อยเรียง แล้วก่อรูปขึ้นภายใน เป็นความรับรู้ที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน

กระทั่งที่สุดแล้ว จะกลายเป็นภาพลายเส้นพายุใหญ่ในแบบนามธรรม ภาพที่ปั่นป่วนหมุนวน ไม่ได้เบลอแบบอิมเพรสชันนิสม์ ทว่าเป็นภาพร่างที่ตวัดด้วยปากกาปลายแหลมเล็ก ลายเส้นจึงคมกริบ เหมือนปลายแหลมของปากกาเป็นอาวุธ เป็นมีดปลายปืนของคนหนุ่มสาว ที่ทิ่มแทงลงไปในหลายมิติของความเป็นไทยอันคร่ำคร่าโบราณ

ระหว่างนั่งรอให้ลายเส้นเหล่านั้นก่อรูป ความคมของปากกาตวัดพาไปถึงสิ่งโน้นสิ่งนี้ วิพากษ์การเรียนการสอนประวัติศาสตร์ ผ่านการจำสิ่งที่จำไม่ได้ แล้วเลย ‘สร้าง’ ความทรงจำโง่ๆ เหล่านั้นขึ้นมาใหม่ สืบทอดความโง่ผ่านความกลัว ปลูกฝังความตายจากรุ่นสู่รุ่น บอกเล่าถึง ‘ความสุข’ โง่ๆ ที่ต้องสละตัวตนจนไม่เหลืออะไร การมีชีวิตอยู่ของคนที่มีชีวิตอยู่ไม่ได้มีความหมายเท่าการมีชีวิตอยู่เพื่อคนที่ไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้ว พวกเขาจึงไม่มีความสุขหลงเหลืออยู่อีกต่อไป

DSCF2943

คุณจะไม่แน่ใจว่า เกมที่พวกเขาเล่นในละคร เป็นเกมคอมพิวเตอร์แปดบิต เป็นบอร์ดเกมดันเจี้ยนแอนด์ดราก้อน หรือเป็นเกมสงครามระหว่างดวงดาวกันแน่ เรารู้แต่เพียงว่า ในระหว่างการ ‘เล่นเกม’ นั้น ใครบางคนได้ตายจากไป ตายไปโดยไม่มีใครรู้เลยว่า ทำไมเขาถึงตาย ไม่มีใครจดจำสาเหตุการตายของเขาได้ แต่กระนั้น ผู้คนที่หลงเหลืออยู่ก็กลับถวิลหาการตายนั้น และพยายามดิ้นรนกลับไปจำลองภาพการตายนั้นอีกครั้ง ผ่านการเล่นเกมครั้งแล้วครั้งเล่า ที่ก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้และสิ่งที่เกมตอกหน้ากลับมาให้โมโหกันเองด้วยวลีสั้นๆ ว่า Game Over

คุณจะไม่แน่ใจว่า ดอกเบญจมาศที่ปกติมีสีเหลืองนั้นหมายถึงอะไร คุณจะไม่แน่ใจว่าใครคือภูมิ คุณจะไม่แน่ใจว่าจิตรไหนคือจิตรไหน คุณจะไม่รู้เลยว่าทำไมความตายและความรักจึงเกลื่อนกระจายอยู่เบื้องหน้าเหมือนแจกันใส่ดอกไม้ที่หล่นแตกพราย คุณจะไม่รู้เลยว่า ฤดูร้อนนั้น ฤดูร้อนแห่งวัยรุ่น ฤดูร้อนแบบที่จะผ่านมาเพียงครั้งเดียวในชีวิต ทำไมมันถึงไม่ผ่านมาอีก และทำไมหากเราต้องการให้มันหวนย้อนกลับมาอีกครั้ง จึงยากเย็นและถูกต่อต้านอย่างรุนแรงนักหนา คุณอาจได้เพียงสงสัยว่า ซิงกูลาริตี้และดวงดาวอัลแตร์นั้นเกี่ยวข้องอะไรกับภูเขาอัลไตไหม แต่คุณจะไม่มีวันรู้คำตอบแจ่มชัดใดๆ ทั้งนั้น

ก็เหมือนชีวิตจริงในโลกจริงอันสาไถย – ที่คุณกำลังดำรงอยู่นี่แหละ

สิ่งที่คุณจะชอบมากอีกมิติหนึ่งในละครเรื่องนี้ก็คือการตีความความรักในหลากหลายรูปแบบ ความรักระหว่างพ่อกับลูก – เมื่อลูกชายบอกว่าเขารักเพื่อนมากกว่าพ่อที่ตายไปแล้ว ความรักระหว่างเพื่อน – เมื่อเพื่อนสองคนชวนกันเล่นเกมอันเป็นตัวแทนความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่าความเป็นเพื่อน ความรักระหว่างผู้กำกับกับตัวละครในประวัติศาสตร์ของเขา – เมื่อผู้กำกับบอกรักตัวละครและลูบไล้ร่างกายของตัวละครที่เคยมีเลือดเนื้อแต่ถูกสังคมไทยกำจัดทิ้งไปอย่างทะนุถนอมรักใคร่

ความรักเหล่านี้ย่อมผนึกแน่นอยู่กับความเควียร์ในสายตาของ ‘เทรดิชั่น’ ที่ถูกย้ำออกมาด้วยเสียงแผดดังก่อนหน้านั้น นี่ไม่ใช่แค่ความขัดแย้งระหว่างเจนเนอเรชั่นเท่านั้น ทว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างกัน ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ระหว่างความพยายามที่จะรักแต่กลืนกินความรักนั้นลงไปในหัวใจไม่ได้ ระหว่างการเขียนงานที่ไร้จุด และการวาง จุด จุด จุด ลงไปในนั้นให้ใครบางคนหยามหยัน

ละครเรื่องนี้ไม่จบเมื่อตัวละครเดินออกไปจากฉาก แต่จะปั่นป่วนวุ่นวายอยู่ในหัวของคุณหลังจากดูจบในคืนนั้น หลังจากคืนนั้น และอาจปั่นป่วนวุ่นวายก่อร่างเป็นรูปทรงของลายเส้นไม่รู้จบไปเรื่อยๆ

ตราบเท่าที่คุณยังคงอาศัยอยู่ใน Wasteland หรือดินแดนสูญเปล่าอันโสโครกความจริงแห่งนี้กันอยู่