ผมพบกับเขาในบ่ายแก่ๆ วันหนึ่ง
เขาเป็นเด็กผู้ชายร่างบางตัวเล็กนิด ในมือถือช่อกุหลาบสีชมพูอ่อนจาง แววตาของเขาเว้าวอน มันสบเข้ากับสายตาของผม
เขาพยักหน้า…ผมยิ้ม
เขาพยักหน้า…ผมส่ายหน้า
เขาพยักหน้าอีกครั้ง….ผมยิ้ม…พร้อมกับส่ายหน้า
ปกติเขาจะเดินจากเราไปง่ายๆเงียบๆตามประสาคนที่ไม่มีอะไรจะต่อรอง
ตามประสาคนที่ ‘ไม่มี’ อะไรในชีวิตมากนัก
แต่เขาคนนี้ไม่เป็นอย่างนั้น
ก่อนนี้ ผมเพิ่งเห็นภาพในโทรทัศน์ภาพหนึ่ง
เป็นภาพของถนนสายเงียบเหงาในค่ำคืนที่เปล่าเปลี่ยว
พื้นถนนชื้นเปียก สะท้อนแสงจากไฟราวริมถนนเป็นมันวาว
ไม่มีใครอยู่บนถนนนั้น…เว้นเสียแต่เด็กผู้ชายเล็กๆ สองคนที่นั่งซุกกันอยู่ริมกองกล่องกระดาษหน้าห้องแถวที่ปิดประตูสนิทนิ่งแห่งหนึ่ง
โลกเงียบเสียยิ่งกว่าที่เคยเงียบ
ทั้งในจอโทรทัศน์…และในหัวใจของผม
ผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่แสนจะแปลกประหลาด
…บางที ผมอาจอยากเป็นอย่างพวกเขา…
เมื่อเด็กผู้ชายคนนั้นเห็นผมยิ้ม เขาซบหน้าลงกับกระจกรถของผม
แล้วหัวเราะ
กระจกรถของผมเปื้อนฝุ่นเขรอะ แต่รอยยิ้มของเขาแล่นผ่านกระจกมาสู่ผม
แล้วเขาก็ตั้งต้นใช้นิ้วเล็กๆ ขีดฝุ่นที่กระจกเหมือนดังที่เด็กๆ มักจะเล่นเวลาเห็นกระจกเปื้อน อีกมือหนึ่งถือช่อกุหลาบสีชมพูแรกแย้มกวัดแกว่งไปมาไม่ใส่ใจ
เขาก็เหมือนเด็กๆ ทั่วไป…เพราะเขายังเป็นเด็ก
แรกๆเขาขีดฝุ่นให้หลีกเร้นเป็นรูปวงกลมบ้าง สี่เหลี่ยมบ้าง แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนมาเขียนตัวเลข
ผมจำได้ดีว่าเขาเขียนเลขอะไรบ้าง แม้จะล้างรถจนกระจกใสสะอาดไปแล้ว แต่ก็ยังคล้ายว่าตัวเลขนั้นติดอยู่ที่กระจกให้ผมเห็นเสมอ
920432
ผมไม่รู้หรอกว่าเขาหมายถึงอะไร
และไม่ได้เอาไปซื้อล็อตเตอรี่ด้วย
ผมเพียงสงสัยเหมือนที่เคย
ผมสงสัยว่า บางทีเขาอาจมีความสุข
ผมสงสัยว่า บางทีอาจเป็นผมเองใช่ไหมที่ทุกข์เศร้า
ผมนั่งอยู่ในรถติดแอร์ มีงานทำ มีที่อยู่ ที่บ้านมีซีดีเพลงของบิลลี่ ฮอลิเดย์รออยู่ มีเครื่องต้มกาแฟ มีเครื่องทำฟองนมร้อนลอยหน้าในถ้วยกาแฟ ผมจะกลับไปดูหนังของแฟรงค์ คาปรา หรือไม่ก็แอนโธนี มิงเกล่า จิบลาเต้ที่ทำเอง ดูหนังจบแล้วอาจจะอ่านหนังสือของธอโรหรือปรัชญาของนิทเช่ พรุ่งนี้จะไปฟังสัมมนาเกี่ยวกับเฟมินิสม์ เพื่อพยายามเข้าใจโลกและสังคมอย่างที่มันเป็น
แต่ผมมีอะไรดีกว่าเด็กชายตัวน้อยๆ คนนั้นบ้างไหม
ผมมีอะไรเหนือกว่าเขาบ้างไหม
บางคนมักขับไล่เด็กๆ ไปจากกระจกรถ
บางทีไม่ใช่เพราะพวกเขากลัวกระจกเปื้อนหรอก แต่เพราะลึกๆ ลงไป พวกเขารู้ดีว่าตัวเองไม่ได้เหนือกว่าเด็กเหล่านั้น
ลึกๆ ลงไป พวกเขารู้ตัวดีว่า ชีวิตที่พวกเขายึดเป็นสรณะนั้น แท้ที่จริงก็ไร้ค่าเช่นเดียวกับที่พวกเขาเห็นว่าเด็กๆ เหล่านั้นไร้ค่า
เพราะไม่มีใครที่มีความสุขถาวรเหมือนๆ กันไปหมด
ตัวเลขที่รังสรรค์ขึ้นจากนิ้วน้อยๆนั้นค่อยๆ เล็กลงทีละตัว
เนื้อที่กระจกรถด้านข้างของผมคงน้อยเกินไป-ผมคิด
ผมอาจอยากให้เขาได้ขีดคำนวณตัวเลขในหัวใจของเขาบนฟ้ากว้าง ได้วิ่งไปในสวนกุหลาบสีชมพูที่เขาถืออยู่ในมือ
แต่เมื่อเขาหัวเราะแล้วยิ้มสดใสให้ผม ผมก็รู้ว่าไม่จำเป็นเลย
พื้นกระจกแคบๆของรถผม ที่แท้แล้วก็คือฟ้ากว้าง…
ช่อกุหลาบสีชมพู ที่แท้แล้วก็คือกุญแจผ่านไปสู่ความสุข
เมื่อใดก็ตามที่เรามีความสุข-ขณะใดก็ตาม กระจกรถก็จะกลายเป็นท้องฟ้า และช่อดอกไม้ก็จะโปรยปรายลงมา
น่าเสียดายที่ความสุขไม่เคยอยู่กับเรานาน
ความไม่จีรังยั่งยืนต่างหากที่อยู่กับเรานาน
บางทีชีวิตที่เข้าใจถึงความไม่จีรังยั่งยืนที่สุด ก็คือชีวิตบนท้องถนน
ไม่ว่าจะเป็นขอทานในอินเดีย โฮมเลสในนิวยอร์ค คนล้างจานชั่วคราวที่บัวโนสไอเรส หรือนักโบกรถที่ไอดาโฮคนนั้น
การใช้ชีวิตเร่ร่อน การ ‘ไม่มี’ อะไรในชีวิต บางทีอาจเป็นการผ่อนคลาย
เราไม่มีวันรู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น และเราไม่ได้สะสม
เราเพียงอยู่เพื่อให้ได้กินไปทีละมื้อ
บางทีนั่นอาจเป็นสัญชาตญาณเก่าแก่ของเรา
สัญชาตญาณของความเป็นชนเผ่าเร่ร่อนที่หลงเหลือ …
บางที ผมอาจอยากเป็นอย่างพวกเขา…
ชั่วขณะนั้น ผมอยากทิ้งทุกสิ่งแล้วลงไปเดินเคียงข้างเขา
แต่ไฟเขียวแล้ว เท้าของผมต้องกดคันเร่งไปตาม ‘สัญชาตญาณ’
…ความสุขไม่เคยอยู่กับเรานาน…
ผมพลันรำลึกขึ้น
จริงแล้ว…