ดูหนังคนเดียว

การดูหนังคนเดียวเป็นสภาวะที่แปลกประหลาด

พูดอย่างสุดขั้ว, เราเข้าไปดูหนังก็เพราะเราต้องการเรียนรู้ชีวิตของผู้คน ไม่ใช่เข้าไปเพราะต้องการหาความบันเทิงใส่ตัว

หนังมักให้อะไรกับเราหลายอย่างที่เราคาดคิดไม่ถึงมาก่อน โดยเฉพาะหนังที่มาจากต่างถิ่น ต่างความรับรู้ ต่างวิถีทัศน์ และต่างวัฒนธรรมกับเรา

ที่จริง หนังแต่ละเรื่องไม่เคยเหมือนกัน หนังญี่ปุ่นสองเรื่องไม่เหมือนกัน หนังฮ่องกงสองเรื่องไม่เหมือนกัน หนังฮอลลีวู้ดสองเรื่องไม่เหมือน

กระทั่งหนังฮอลลีวู้ดเรื่องเดียวกัน แต่สร้างคนละที ก็ยังไม่เหมือนกัน

หนังก็เหมือนผู้คน การเข้าไปดูหนังก็คล้ายการทำความรู้จักกับใครสักคนหนึ่ง และการดูหนังคนเดียว ก็ยิ่งคล้ายการตั้งใจทำความรู้จักกับใครคนนั้นให้เต็มที่

เรื่องแปลกก็คือ การดูหนังคนเดียว แปลว่าเราต้องตัดขาดจากโลก สังคม และผู้คนรายรอบตัวเรา แม้เพียงสองชั่วโมง เพื่อเข้าไปทำความรู้จักกับผู้คนในหนัง

ไม่ใช่แค่ทำความรู้จักอย่างผิวเผิน ทว่าคือความพยายามทำความรู้จักอย่างลึกซึ้ง – เราถึงตัดสินใจเข้าไปดูหนังเรื่องนั้นตามลำพัง

เราตัดขาดจากผู้คน เพื่อเข้าไปทำความรู้จักกับผู้คน

เราละทิ้งสังคมนี้ เพื่อเข้าไปหาสังคมอื่น-แม้เพียงชั่วขณะ

ที่จริง จอหนังล้วนว่างเปล่า มีเพียงแสงสีต่างๆสาดส่องลงไปวินาทีละ 24 ภาพ เป็นภาพทับซ้อนต่อเนื่องที่สายตาของเราหลอกลวงตัวเราเอง

เราหนีโลกที่ ‘จริง’ อย่างเหลือเกิน เข้าไปหาโลกที่ไม่มีอะไรจริงเลย นอกจากลำแสงสีต่างๆเท่านั้นได้อย่างไร

หรือเพราะเอาเข้าจริงแล้ว โลกที่เราเห็นว่าจริงอย่างเหลือเกิน ที่จริงก็เป็นมายาภาพอันว่างเปล่า เราจึงมีสิทธิเต็มที่ที่จะหนีจากความว่างเปล่าหนึ่งไปสู่อีกความว่างเปล่าหนึ่ง

และจะหนีมันไปได้พ้นอย่างสัมบูรณ์ ก็ต่อเมื่อเราต้องหนีไปคนเดียว

การดูหนังกับเพื่อน กินขนมกรุบกรอบ จิบโคล่า คว้าข้าวโพดคั่ว ก็เท่ากับเรายังถูกใยโยงเหนียวหนับยึดแน่นเราเข้ากับโลกใบเก่า ไม่ได้ปลดปล่อยเราสู่โลกอีกใบที่เป็น ‘มายา’ อย่างเหลือเกิน

ในแง่นี้ การดูหนังคนเดียวก็คล้ายได้ ‘ดับ’ ไปจากโลกใบหนึ่ง และ ‘เกิด’ อยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง รับรู้ ซึมซับชีวิตของผู้คน ร่ำไห้ หัวเราะ ยินดี ปลาบปลื้ม ขนลุก รังเกียจ เกรี้ยวกราด ขยะแขยง ปล่อยให้อารมณ์และความคิดทั้งปวงไปเกิดดับอีกครั้งอยู่ในโลกบนจอหนัง

กระบวนการนี้จะเป็นไปอย่างสัมบูรณ์ไม่ได้ หากคุณไม่ได้ดูหนังคนเดียว และปล่อยวิญญาณของคุณให้หลุดลอยไปตามกระแสแห่งกรรมที่ผู้กำกับเป็นคนสร้างขึ้น

ถ้าเราไม่ปล่อยวิญญาณของเราให้ผู้กำกับครอบครอง เราจะดูหนังเรื่องนั้นได้ไม่สนุก ไม่เกลื่อนกลายไปเป็นใครคนหนึ่งในหนัง คนที่เข้าใจและซึมซับวิถีชีวิตที่แตกต่างจากเรา ในช่วงเวลาที่แตกต่างจากเรา ในสภาพสังคมที่แตกต่างจากเรา-ได้เลย

สิ่งเดียวที่ทำให้เรายังเป็นตัวของเราอยู่ได้ สามารถวิพากษ์การทำงานของผู้กำกับได้ – ก็คือสติและการรู้ตัวอยู่เสมอ

ถ้าเรารู้ตัวของเราดี ว่าเรากำลังจะปล่อยวิญญาณของเราไป เรากำลังยืนอยู่ที่ขอบของหุบเหวแห่งการปะทะสังสรรค์ระหว่างโลกจริง (ที่อาจจะมายาเหลือแสน) กับโลกมายา (ที่อาจจะจริงอย่างยิ่ง) เรากำลังจะโยนตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ในหนัง แต่ขณะเดียวกัน เราก็ไม่ได้อยู่ที่นั่น เราอยู่ข้างนอก เฝ้ามองเข้าไป เราก็จะสามารถ ‘เป็น’ และ ‘ไม่เป็น’ ในสิ่งที่เรากำลังเป็นและไม่ได้เป็นได้ทั้งสิ้น

นั่นคือคุณูปการของการดูหนังคนเดียว