เมื่ออายุมากขึ้น คุณเริ่มรู้จักตัวเองน้อยลงเรื่อยๆ เพราะจะมี ‘เรื่องเล่า’ เกี่ยวกับตัวคุณ ที่คุณไม่รู้ว่าเป็นอย่างนั้น แต่คนอื่นรู้และเชื่อว่านั่นคือตัวคุณ, ยิ่งอยู่นานเท่าไหร่ ‘เรื่องเล่า’ เหล่านี้ยิ่งทวีจำนวน
ตอนยังไม่แก่ตัวมากพอ คุณอาจรู้สึกเคือง อยากอธิบาย อยากบอกว่าตัวคุณไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่ในที่สุด คุณก็รู้ว่า คุณไม่มีวันต่อสู้กับเรื่องเล่าเหล่านั้นได้หรอก เพราะมันมีปริมาณมหาศาล
หลายเรื่องกว่าคุณจะรู้ก็เนิ่นนานจนการเอ่ยถึงเป็นเรื่องไม่จำเป็นไปเสียแล้ว และหลายเรื่อง คุณอาจไม่มีโอกาสได้รู้เลยจนวันตาย
ที่จริง บางครั้งคุณก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าเรื่องเล่าเหล่านั้นมัน ‘จริง’ หรือ ‘เท็จ’ เพราะที่จริงคุณก็ ‘แต่ง’ เรื่องเล่าของตัวเองขึ้นมาใหม่ แล้วโยนมันเข้าไปไว้ในกระแสธารเรื่องเล่าเกี่ยวกับตัวคุณอยู่ไม่น้อยเรื่องเหมือนกัน
เรื่องเล่าของคุณและของคนอื่นเกี่ยวกับตัวคุณมีทั้งที่สอดคล้องกัน ขัดแย้งกัน ปะทะกัน แต่จะอย่างไรก็ตาม เรื่องเล่าเหล่านั้นได้ก่อตัวกลายเป็น ‘รูป’ ของตัวคุณในแบบต่างๆ มากมาย ตามแต่ว่าคนอื่นจะดูดซับเรื่องเล่าแบบไหนของคุณบ้าง
บางเรื่องเล่าตายไป บางเรื่องเล่าอยู่ยงคงกระพัน บางเรื่องเล่าคุณเกลียดมันแทบแย่ บางเรื่องเล่าคุณรู้อยู่แก่ใจว่าไม่จริง แต่อาจรู้สึกว่า – ก็ดีเหมือนกันนะ คุณเลยปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อหล่อเลี้ยง ‘รูป’ ของตัวคุณในแบบนั้นๆ เอาไว้
นานเข้า คุณเริ่มสับสนงุนงง ว่าเรื่องเล่าแบบไหนขึ้นรูปตัวตนแบบไหนให้คุณ และตัวตนแบบไหนของคุณมาจากเรื่องเล่าแบบไหน หากนานมาก ที่สุดคุณจะปล่อยเรื่องเล่าเหล่านั้นให้ดำเนินไป ให้มันมีชีวิตของมันเอง
และหากนานพอ ที่สุดคุณจะเข้าใจ ว่ามนุษย์คนหนึ่งไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตมากเท่ากับเป็นเรื่องเล่า
คุณไม่ได้เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ แต่เป็นสิ่งที่แปรเปลี่ยนไปเสมอ ไม่สิ คุณอาจไม่ได้เป็น ‘สิ่ง’ ด้วยซ้ำ
นี่ไม่ได้จำกัดเฉพาะเฉพาะมนุษย์ที่มีชื่อเสียงเท่านั้น แต่ใครๆ ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องเล่าของคนอื่น และคนอื่นก็ล้วนแต่เป็นเรื่องเล่าของเราทั้งสิ้น
เรื่องเล่า – ที่สุดท้ายจะกลายเป็นเพียงการกระเพื่อมของสายลมที่บางเบาเหลือเกิน