ถ้าถามว่า ผมชอบเวลากลางคืนไหม ผมคงตอบได้ไม่เต็มปากนัก…ว่าชอบ
ส่วนใหญ่ในเวลากลางคืน ผมมักใช้เวลาอยู่ข้างหน้าต่าง อ่านหนังสือที่ชอบ หรือไม่ก็คิดถึงผู้คนมากมายที่เคยพบ
ผู้คนในความคำนึงของผม ส่วนใหญ่เป็นผู้คนของกลางคืน และมักเป็นผู้คนที่อยู่ตามซอกมุมต่างๆของโลก
บางคนเป็นใครคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ และหลายคน-เราก็ได้พบกันเพียงครั้งเดียวในชีวิต
ผมคิดว่าเวลากลางคืนทำให้ผมเปลี่ยนไป ผมไม่ได้เป็นเพียงคนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง แต่ม่านมืดที่คลี่ลงคลุมกลางคืน ได้ทำให้ผมมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
ละม้ายสีดำของกลางคืนช่วยซ่อนตัวผมจากสิ่งน่ากลัวต่างๆ กลางคืนจึงพาสิ่งมหัศจรรย์มากมายมาให้ชีวิต
ผมคิดว่า…ชายแปลกหน้าที่มีรอยสักเขียนว่า Hate You อยู่ตรงแก้มที่เคปทาวน์, หญิงชราที่ถือไม้เท้าเดินขึ้นเขาไซนายอันสูงชันในยามค่ำ และเด็กหญิงชาวกูรุงที่นั่งเปิบข้าวสีเหลืองอยู่ในครัวของแดมปุส ก็คงรู้สึกคล้ายๆกันกับผม
เรามีกลางคืนเป็นประสบการณ์ร่วม
เราได้พบกันในยามค่ำ
แต่จนป่านนี้ สีดำของกลางคืนก็อาจทำให้เราปัดกันและกันหล่นจากความทรงจำไปแล้ว
กลางคืนที่เคปทาวน์
จัตุรัสกรีนมาร์เก็ตสแควร์กลางเมืองเคปทาวน์ที่เคยคึกคักในเวลากลางวันดูเดียวดายไร้ผู้คน แต่ถนนเมนที่ในยามกลางวันไม่ค่อยมีใครมาเดิน กลับแลดูหนาตามากเสียกว่าในจัตุรัส
กลางคืนในจัตุรัสที่เคยคึกคักในเวลากลางวันมักแลดูเปล่าดายมากกว่าปกติ บางทีอาจเพราะความกว้างของมันกระมัง ที่ทำให้คนสองสามคนซึ่งเดินสวนกันไปมา ดูเหมือนห่างไกลกันเหลือเกิน
ผมใส่เสื้อกันหนาวตัวเก่าแทบจะขาด ถอดนาฬิกาข้อมือออก แล้วซุกมือลงในกระเป๋า พลางเดินเล่นไปในค่ำคืนของเคปทาวน์
หลายคนบอกว่า การทำอย่างนั้นไม่ปลอดภัยนัก เพราะสีดำของค่ำคืนที่เคปทาวน์มักพาความร้ายกาจของอาชญากรมาสู่ท้องถนน นาฬิกาอาจมีค่าเท่าชีวิต และชีวิตก็อาจมีค่าเท่าเศษธุลี
แต่สีดำของค่ำคืนทำให้ผู้คนแตกต่างไปได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ
ผมเดินในถนน ผมเพียงอยากรู้เท่านั้น ว่ากลางคืนของเคปทาวน์จะเหมือนกลางคืนในแอลเอไหม
ผมจำได้ว่า คืนหนึ่ง ในบางย่านของแอลเอ เมื่อเราขับรถผ่านผู้คนบนถนน และช่างภาพพยายามจะกดชัตเตอร์บันทึกภาพ คนในเสื้อผ้าเก่าขาดถือถุงสีดำเดินอยู่ริมถนนหันหน้ามาบอกเราว่า
“ถ้าจะถ่ายรูปใครล่ะก็ ขออนุญาตเขาเสียก่อนนะ”
เสียงของเขาไม่ได้เกรี้ยวกราด ไม่ได้เฉยชา ไม่ได้โกรธ ไม่ได้โมโห แต่เป็นไปในลักษณาการของคนคนหนึ่งที่ ‘บอกเล่า’ ให้คนอีกคนหนึ่งฟังด้วยความเอาใจใส่และห่วงใย
เมื่อผมลงจากรถมาเดินบนถนนในแอลเอยามค่ำ คนดำแบกถุงท่าทางสกปรกและน่ากลัวที่เดินสวนมาเข้ามาทักทาย เขาถามว่ามีบุหรี่ไหม แล้วเราก็คุยกัน
แต่เคปทาวน์แตกต่างออกไป ผู้คนไม่ได้เดินอยู่ ‘บน’ ถนน ถนนดูว่างเวิ้งมากกว่าที่ควรจะเป็น เพราะหลายคนมัวซุกตัวอยู่ในซอกมุมมืด ‘ริม’ ถนน-และผมไม่รู้ว่าพวกเขาหลบอยู่ทำไม
เมื่อสวนกับชายหนุ่มคนหนึ่ง แก้มของเขาสักเป็นถ้อยคำเขียนว่า Hate You! เมื่อมองเลยขึ้นไปที่ดวงตา ผมเห็นประกายกร้าวแข็งโชนแสงอยู่ในนั้น ผมจึงไม่กล้าเอ่ยปากทักเขา
เป็นเขาต่างหาก ที่ถามผมว่ากี่โมงแล้ว-และทำให้ผมขนหัวลุก!
ผมอึ้ง ไม่แน่ใจว่าควรจะควักนาฬิการาคาเท่าชีวิตออกมาดูเวลาแล้วบอกเขาไหม
ชั่วเสี้ยววินาที ผมตัดสินใจโกหกเขาว่าไม่รู้-ไม่มีนาฬิกา
เขายักไหล่ แล้วเดินจากไป
ถึงวันนี้ ผมอยากรู้นักว่า คืนนั้นที่เคปทาวน์ ถ้าผมบอกเวลาเขาไป อะไรจะเกิดขึ้น
เขาจะเกลียดผมเหมือนที่รอยสักบนแก้มบอกไหม?
กลางคืนที่แดมปุส
ผมรู้สึกคล้ายเป็นเรื่องผิดอย่างหนึ่งของชีวิต ที่จำชื่อของเด็กหญิงคนนั้นไม่ได้
ผมจำได้แต่ภาพที่เธอนั่งเปิบข้าวดาลบัดตุ้ยๆอยู่ในครัวอันอบอุ่น
เมื่อกลางคืนคลี่ม่าน หิมาลัยก็เปล่งไอหนาวลงมาสู่หมู่บ้านเล็กๆในเทือกใหญ่ของหิมาลัยที่ชื่อแดมปุสแห่งนั้น เด็กหญิงชาวกูรุงรีบเข้ามาอยู่ในครัว ใช่! ทั้งเพื่อช่วยแม่ทำอาหาร และทั้งเพื่อให้ไอร้อนจากเตาไฟช่วยคลายหนาว
ผมเองก็ลี้ภัยหนาวเข้ามาอยู่ในครัวเหมือนกัน และได้ดื่มรักซี่-เหล้าขาวของเนปาลแก้หนาว พลางนั่งดูเด็กหญิงชาวกูรุงนั่งกินข้าว
ข้าวของเธอเป็นสีเหลือง ดวงตาของเธอเป็นสีน้ำตาล มันกลมโต และมีวี่แววอยากรู้อยากเห็น
เธอห่มผ้าผืนหนาเอาไว้ติดกาย และนิ่งฟังพี่ๆ แม่ พ่อ และแขกแปลกหน้าพูดคุยกัน
ทุกคนมีเรื่องเล่า มีสิ่งที่อยากอวดว่าตนรู้ ตั้งแต่เรื่องคนยิงกันที่หุบเขาโน้น กระทั่งถึงเรื่องนักท่องเที่ยวที่ปีนเขาขึ้นไปตายบนเขาสูง แต่มีเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆคนนี้เท่านั้น ที่นั่งซุกตัวอยู่กับกำแพง เปิบข้าว และได้แต่ ‘ฟัง’ ผู้คนเหล่านั้นพูดคุยกัน
ความมืดของกลางคืนช่วยพรางเธอเสียจากความสนใจของผู้อื่น เธอจึงนั่งอยู่ตรงนั้นได้โดยไม่มีใครรบกวน
ความหนาวเย็นและมืดมิดของกลางคืนมักทำให้เราสงบนิ่งมากกว่าความร้อนและแสงสว่างของกลางวัน
คืนนั้น มีคนเพียงสองคนที่ไม่ได้พูดอะไร คนหนึ่งคือผม ผู้ซึ่งพูดภาษากูรุงไม่ได้ และได้แต่ฟังภาษาแปลกๆนั้นพร้อมกับเดาความ อีกคนหนึ่งคือเธอ เด็กหญิงตัวน้อยที่มีสิทธิอำนาจน้อยที่สุดในครอบครัว-เธอไม่มีแม้แต่สิทธิอำนาจที่จะพูดในวงสนทนาของผู้ใหญ่
เราจึงคล้ายเป็นเด็กน้อยสองคนที่ได้แต่จ้องตากันไปมาอยู่ในความมืดและเหน็บหนาว…แต่พูดคุยกันไม่ได้
ทว่าแม้ไม่ได้พูด ผมคิดว่าเราสองคนก็มีความสุขอยู่กับเวลากลางคืน
เป็นความสุขที่ได้เป็นคนซึ่ง ‘ไม่มีใครมองเห็น’ และ ‘ไม่มีเสียงพูด’
บางครั้งเราก็ไม่จำเป็นต้อง ‘พูด’ เพราะเพียงแต่ ‘ฟัง’ ชีวิตก็มีคุณค่ามากพอแล้ว
เด็กหญิงบอกผมอย่างนั้น
เราต่างซุกร่างอยู่กับตัวเอง มีแต่สายตาและความเข้าใจเท่านั้นที่อยู่ร่วมกัน
กลางคืนที่ไซนาย
ผมนั่งอยู่บนอูฐ แล้วมองลงมาเห็นเธอ หญิงชราวัยไม่ต่ำว่าเจ็ดสิบปีคนนั้น
อูฐพาเราไต่ขึ้นสวรรค์ของภูเขาไซนาย ภูเขาที่โมเสสขึ้นมารับบัญญัติสิบประการ
ทางขึ้นเขานั้นไม่ลำบากและลาดชันนัก ทว่ามันยาวไกลและโอฬาร ผมไม่มีวันเชื่อหรอกว่าหญิงชราคนนั้นจะขึ้นไปถึงยอดเขา
ไซนายเป็นภูเขาที่สูงและสลับซับซ้อน ผมสามารถนั่งอูฐขึ้นไปได้เพียงเกือบถึงยอดเขาเท่านั้น จากนั้นก็ต้องเดินเท้าต่อขึ้นไปอีกครึ่งชั่วโมง
เมื่ออูฐพาเราผ่านค่ำคืนและดวงดาวขึ้นมาถึงจุดพักแล้ว ผมลงจากหลังอูฐ นั่งพักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนสะพายกล้องเดินเท้าต่อขึ้นไปบนทางเดินที่เป็นกรวด
ความมืดทำให้เวลาครึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเดินขึ้นไปถึงยอดเขา ความมืดยิ่งทำให้ผมไม่รู้เลย ว่าตัวเองขึ้นมาถึงไหนแล้ว
ฝรั่งบางคนขึ้นเขามาตั้งแต่เมื่อเย็นวาน และนอนกันอยู่ในถุงนอน ซุกกันอยู่ตามซอกหิน
แน่นอน-ผมมองไม่เห็น และเหยียบใครคนหนึ่งเข้าเต็มรัก
ผมเซถลาไปข้างหน้า ด้วยไม่อยากให้ใครคนนั้นต้องเจ็บตัวนัก แล้วผมก็ล้มลงบนหินก้อนหนึ่ง
ในแสงดาวอันริบหรี่ ผมพบว่าหินก้อนนั้นวางตัวอยู่ริมหุบผาอันลึกลิ่วนับพันเมตร
หลุดเลยจากหินก้อนนั้นไป ผมจะไม่มีวันได้กลับมาที่ยอดเขานี้อีกเลย
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น หินก้อนนั้นถูกผมใช้เป็นที่วางขาตั้งกล้อง และเมื่อแสงสว่างสาดส่องมากขึ้น ผมจึงได้เห็นว่ามีผู้คนรายล้อมอยู่นับร้อย
หนึ่งในผู้คนเหล่านั้นคือหญิงชราคนหนึ่ง-คนที่อาศัยแรงศรัทธาเดินเท้าขึ้นมาถึงที่นี่-เป็นหญิงชราวัยกว่าเจ็ดสิบคนเดิมคนนั้น คนที่ต้องใช้ไม้เท้าผลักดันตัวเองขึ้นมาในความมืด
บางทีเธออาจไม่รู้ก็ได้ว่าตัวเองเดินขึ้นมาไกลเพียงใด
อาจเป็นความเชื่อมั่น
อาจเป็นความศรัทธา
หรืออาจเป็นพลังแห่งกลางคืน-ที่ทำให้หญิงชราคนหนึ่งเดินไกลนับสิบกิโลเมตรขึ้นมาบนภูเขาลูกที่ ‘พระเจ้า’ เคยพูดคุยกับมนุษย์เมื่อหลายพันปีก่อน
เมื่อมีแสงสว่าง ผมจึงเห็นว่าตัวเองเดินด้วยเวลาครึ่งชั่วโมงขึ้นมา ‘สูง’ เพียงใด
บางทีถ้าปราศจากความมืดและกลางคืน เรา-หมายถึงผมและหญิงชราผู้นั้น, อาจ ‘เห็น’ ชัดเกินไปก็ได้ว่าอุปสรรคที่ขวางกั้นเราอยู่นั้นยิ่งใหญ่เพียงใด
เป็นกลางคืนและความมืดบอดของกลางคืนนั้นต่างหาก ที่ปลุกเร้าศรัทธาให้มนุษย์
จนเรากล้าและสามารถทำอะไรบางสิ่งที่หากปราศจากศรัทธาเราจะไม่มีวันทำได้
ไม่ว่าเรื่องดีหรือร้าย
นั่นเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมนึกขอบคุณกลางคืน
กลางคืนที่บางกอก
บางกอกก็มีกลางคืนเหมือนทุกหนทุกแห่งในโลก
กลางคืนช่วยพรางตัวเราจนจ้อย
กลางคืนช่วยพรางอุปสรรคจนมองไม่เห็น
และกลางคืนช่วยให้เราไม่กริ่งเกรงแม้สิ่งที่น่ากลัวที่สุด
ผมเพิ่งรู้สึกเดี๋ยวนี้เอง ว่าถ้าอยากรู้จักกลางคืนให้มากกว่าที่เคย บางทีผมอาจต้องละจากหนังสือที่ชอบ
แล้วเดินออกไปหากลางคืนอีกครั้ง…