ใครก็ไม่รู้เคยบอกไว้ว่า ชีวิตคือการเดินทาง ไม่ใช่เป้าหมาย ไม่ใช่บ้าน ชีวิตคือถนน ไม่ใช่ประเทศ
เขายังบอกด้วยว่า ความรื่นรมย์ชั่วครู่ชั่วยามในชีวิต ความรักความอบอุ่นทั้งหลายที่อาจเกิดขึ้นกับทุกๆคน ที่เราต่างยึดมั่นว่าเป็นเหมือนที่พำนักของเรานั้น ล้วนไม่ใช่ ‘บ้าน’ ของเราเลย มันเป็นเพียงโรงเตี๊ยมเล็กๆที่รายเรียงอยู่ระหว่างทาง ให้เราได้ผ่อนพักเพียงชั่วขณะ แล้วจากนั้น ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เราก็ต้องออกเดินทางจากโรงเตี๊ยมเหล่านั้นไปสู่ที่อื่นๆ
แม้เราจะไม่เคยย้ายที่อยู่เลยในชีวิตของเรา แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่ได้ย้าย ‘บ้าน’ ภายในของเราไปเรื่อยๆ บ้านที่เรามีสำเนาทะเบียนบ้านอยู่นั้นไม่ใช่ ‘บ้าน’ ในความหมายนี้เลย เพราะแม้เราจะนั่งอยู่กับที่ชั่วชีวิต ก็ไม่ได้แปลว่าตัวตนภายในของเราจะอยู่กับที่ไปด้วย เรามีแต่จะเคลื่อนย้ายจากสภาวะอารมณ์หนึ่งไปยังอีกสภาวะอารมณ์หนึ่ง
ชีวิตและตัวตนของเราจึงไม่เคยเป็นเรื่องที่ ‘หยุด’ อยู่กับที่ แต่เป็นการก้าวเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว
ผมเคยคิดว่า การเดินทางเป็นเรื่องของคนหนุ่มสาว แต่เอาเข้าจริงแล้ว มันอาจเป็นเรื่องของคนที่มีหัวใจเป็นหนุ่มสาวมากกว่า ทุกวันนี้ ผมออกเดินทางน้อยลง ไม่ตื่นเต้นกับการเดินทางมากเหมือนเก่า ลอนดอนหรือ นิวยอร์คหรือ กาฏมัณฑุหรือ ซิดนีย์หรือ เคปทาวน์หรือ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนๆ ผมคิดว่าตัวเองได้พบร่องรอยซ้ำๆของอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะร่องรอย ‘ตัวตน’ ของตัวเอง
เป็นไปได้ ที่ร่องรอยซ้ำๆนี้จะทำให้ผมตื่นเต้นกับการเดินทางน้อยลงเรื่อยๆ
ครั้งหนึ่ง ผมเคยเจอหนุ่มน้อยชาวอังกฤษคนหนึ่งที่เพิ่งออกเดินทางท่องโลกเป็นครั้งแรก เขาเดินทางไปออสเตรเลีย แล้วย้อนกลับมาไทย เพื่อจะไปอินเดียเป็นประเทศถัดไป เขาบอกผมว่า ในการเดินทางครั้งแรกนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นประสบการณ์อันหอมหวาน เขาจะจดจำทุกเรื่องตลอดไป ตั้งแต่ที่นั่งบนเครื่องบินที่เขาเคยนั่งเป็นครั้งแรก แม้แต่อาหารบนเครื่องบินอันเป็นที่น่าเบื่อหน่ายของหลายคน เขาก็ตื่นเต้นกับมันมาก เขาบอกว่าแต่ละสายการบินมีอาหารที่ไม่เหมือนกัน และนั่นจะก่อรูปขึ้นเป็นความทรงจำระยะยาวในชีวิตของเขา
สำหรับเขา กรุงเทพฯ คือเมืองที่สวยงามและแปลกตา มีความรื่นรมย์ในความร้อนระอุที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน แม้กระทั่งควันพิษและการนั่งรถเมล์ก็ทำให้เขาตื่นเต้น เขาบอกว่ายิ่งเป็นรถเมล์ที่ขับหวาดเสียวด้วยแล้ว ก็ยิ่งเหมือนได้เข้าสวนสนุกนั่งเล่นโรลเลอร์โคสเตอร์ฟรีๆไม่ต้องเสียเงิน (หรือที่จริงเสียเท่าค่าตั๋วรถเมล์)
ผมปากเสียบอกเขาไปว่า แต่บางทีเราอาจต้องเสียเงินค่านั่งรถเมล์ในกรุงเทพฯ เท่ากับราคาของชีวิตเราเลยทีเดียวนะ เพราะหลายประสบการณ์ก็แฝงไว้ด้วยอันตรายอย่างที่เราอาจคาดไม่ถึง โดยเฉพาะคนที่มีประสบการณ์ไม่มากนัก
เมื่อพูดเช่นนั้น แทนที่ดวงตาของเขาจะหม่นแสงลง มันกลับเต้นเร่าด้วยความรู้สึกตื่นเต้น เขาบอกว่าเขาอยากเดินทางให้มากขึ้นไปอีกเรื่อยๆ เพื่อที่วันหนึ่งเขาจะได้รู้สึกกับการเดินทางเหมือนกับผม
“มันคงน่าตื่นเต้นมากนะครับ” เขาว่า “ที่เราจะได้ผ่านประสบการณ์มากมายในชีวิตจนไม่ตื่นเต้นกับการเดินทางอีกต่อไป”
คำพูดของเขาทำให้ผมละอาย เมื่อเราจากกัน ผมจึงอวยพรให้เขาสนุกกับการเดินทางไปอีกตราบนานเท่านาน
ผมบอกเขาว่าเสียใจ ทั้งเสียใจที่พูดกับเขาอย่างนั้น และเสียใจที่ตัวเองอาจไม่มีวันได้ ‘รู้สึก’ กับการเดินทางเหมือนที่เขารู้สึกอีกแล้ว
เขายิ้ม และบอกเป็นประโยคสุดท้ายว่า “ไม่หรอกครับ ผมเชื่อว่าต่อให้เราอยู่นิ่งๆกับที่ เราก็สามารถ ‘รู้สึก’ กับสิ่งต่างๆได้อย่างทรงพลังเหมือนกับออกเดินทางนั่นแหละ ถ้าเพียงแต่เราจะปลุกพระอาทิตย์ในหัวใจของเราขึ้นมาได้”
เขาทำให้ผมนึกถึงใครก็ไม่รู้ ผู้เคยบอกไว้ว่า ชีวิตคือการเดินทาง ไม่ใช่เป้าหมาย ไม่ใช่บ้าน ชีวิตคือถนน ไม่ใช่ประเทศ ไม่ใช่หลักแหล่ง ไม่ใช่ที่พำนัก แต่ชีวิตจะขับไสให้เราต้องออกเดินทางไปจนชั่วชีวิต
แม้อาจไม่ใช่การเคลื่อนย้ายทางกายภาพก็ตามที