เราตายเพื่อจะมีชีวิตอยู่

 

1

บางครั้งผมก็นึกครึ้มอกครึ้มใจ อยากฆ่าตัวตายอยู่เหมือนกันครับ

เปล่า! ผมหาได้มีปัญหาหนักอก มีนรกอยู่ในใจ มีไฟสุมทรวง แต่ประการใด

มิได้! ผมมิได้ฝักใฝ่ในลัทธิซาตานหรือเชื่อมั่นอกมั่นใจเต็มร้อยเหมือนใครหลายคนที่ออกจะเชื่อเอาจริงๆจังๆว่าโลกจะแตก (ถึงบัดดลนี้จะซาความเชื่อนั้นไปบ้างบางกระผีกก็เถิด) จนถึงต้องพากันฆ่าตัวตายหมู่เพื่อไปสู่สวรรค์นิพพานหรือแห่งหนตำบลนรกใดตามแต่ใจตนจะเชื่อ

แต่ผมรู้สึกว่า ถ้าอยู่ๆตัวเองเกิดคว้าปืนขึ้นมายิงตัวเอง (จะในลิฟท์หรือบนโต๊ะในร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อยแถวบางขุนพรหมก็ได้) โดยไม่ให้เหตุผลกับใครเลยว่าทำไมถึงได้ฆ่าตัวตายหนีชีวิตนี้ไปเสีย ผมเข้าใจว่า ใครต่อใครในโลกนี้คงต้องพยายามสืบค้นสาเหตุการตายของผมเป็นสามารถ

และคงจ้าละหวั่นพรั่นพรึงกันเป็นอันยิ่ง หากหาสาเหตุไม่พบว่าไอ้หมอนี่มันฆ่าตัวตายทำไม

มันวิ่งออกมาจากลิฟท์ไล่หลังเพื่อนชายออกมา มันต้องมีปัญหาชีวิตแบบเกย์แน่

หรือมันจะมีปัญหาเรื่องเงินๆทองๆ สงสัยแทงเบอร์เจ็ดแล้วเบอร์สามเข้าวิน หรือไม่ก็ศึกฟุตบอลทำพิษแหงๆ

เอ…หรือจะฤทธิ์ยากล่อมประสาทเสพติดที่เคยกินมันอาละวาดระบาดใหญ่อยู่ในสมอง พานทำให้ไกปืนกระดิก

หรือว่า…

หรือ…

เอ๊ะ! หรือจะเป็นไปอย่างที่คนเพี้ยนๆบางคนสงสัย คือ หมอนี่ไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่เจ้าเพื่อนนั่นแหละฆ่า ส่วนที่ยามหน้าอพาร์ตเมนต์เห็นวิ่งแจ้นตามเพื่อนออกมาน่ะ ที่แท้เป็นวิญญาณ!

เฮ้อ! คุณรู้สึกกลุ้มใจไหมครับ

ผมคิดว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเสมอในสังคมไทย-สังคมที่ไม่ชอบสกัดจุดอ่อนออกไปอย่างซึ่งหน้า แต่ควบคุมและถึงขั้น ‘กำจัด’ จุดอ่อน ด้วยปาก

ผมเข้าใจว่า มีคนจำนวนมากทีเดียวที่มีปากเอาไว้พูด แต่มีอวัยวะบางส่วนที่ควบคุมปาก-เอาไว้ใส่ขี้เลื่อย

ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ คนบางคนยังมีอวัยวะบางส่วนที่คอยฉีดเลือดไปเลี้ยงปาก-เอาไว้ใส่หิน

ผมจึงอยากฆ่าตัวตายนัก

เพราะผมอยากรู้เหลือเกินว่า มนุษย์สมองขี้เลื่อยใจหินจะพูดถึงผมว่าอย่างไรกันบ้าง

ในเวลาที่เราไม่มีตัวตนหลงเหลืออยู่แล้ว

 

2

ความตายเป็นสมบัติของมนุษย์

วันหนึ่ง ผมขับรถออกจากบ้าน แล้ววกกลับรถใต้สะพานลอยเหมือนเคย แต่ให้สงสัยเต็มประดาว่าทำไมวันนี้รถจึงติดผิดปกติ

อาการขยับเขยื้อนเคลื่อนตัวของแถวรถที่เรียงระยะกันอยู่นั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้าคล้ายกับมีบางอย่างมาอุดตันเส้นทาง

รถข้างหน้าค่อยๆทยอยแยกออกเป็นสองฝั่ง คล้ายกับมีบางอย่างที่ล้อรถขยะแขยงวางตัวอยู่บนพื้น

รอยสีแดงกว้างขนาดเท่าตัวคนปรากฏขึ้นตรงหน้า รถของผมขยับเคลื่อนไปช้าๆ กระทั่งรอยสีแดงนั้นไหลเลื่อนมาอยู่ข้างๆ

ผมมองดู-แวบแรกไม่เข้าใจว่าคืออะไร

ยางมะตอยหรือ

หรือน้ำมันหก

หรือสารเคมี

หรือชาด

หรือว่า…

หรือ…

มนุษย์มีคุณสมบัติสำคัญอย่างหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนมนุษยชาติมาตลอดหลายพันปี นั่นก็คือการกะเก็ง คาดเดา และการแสดงความเห็น…ทั้งๆ ที่ไม่รู้

เรามักพยายามยกสิ่งที่เราไม่รู้และอยู่นอกกรอบความรับรู้ของเราเข้ามาอยู่ในกรอบที่เราเห็นและรู้จักมาตลอด

มนุษย์จึงทั้งก้าวหน้าและถอยหลังไปๆมาๆตลอดประวัติศาสตร์ เพราะถ้าเดาถูก เราก็รุดหน้า ทว่าถ้าเดาผิด เราก็ต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่

อย่างไรก็ตาม มีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่งที่เรารู้จัก คุ้นเคย และต้องพานพบ ถึงยังไม่เกิดกับตัวเองก็ต้องเกิดกับคนอื่น แต่ถึงเรารู้จัก คุ้นเคย และเป็นเรื่องที่อยู่ในกรอบความคิดของเรามาตลอด เรายอมรับ และรับรู้มาตลอดว่าเรื่องนี้ต้องเกิด ทว่าเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง-เรากลับพยายามปฏิเสธ

“ฉันเสียใจมาก” เพื่อนคนหนึ่งเล่าให้ฟัง คนข้างบ้านของเธอเสียชีวิต ทางบ้านเรียกลูกสาวที่บังเอิญไปเชียงใหม่ในช่วงนั้นกลับบ้าน และเธอบังเอิญไปพบลูกสาวของคนข้างบ้านเข้าขณะเดินทางกลับบ้านพอดี

“ฉันไม่รู้เลยว่าเขาไม่รู้” เธอพูดสับสน “แต่ฉันเห็นเขาใส่ชุดดำ ฉันเลยเข้าไปทักเขา แล้วบอกเขาว่า เสียใจด้วยนะที่พ่อเสีย”

ฉากเดิมๆเกิดขึ้นตรงหน้า การร่ำไห้ การปฏิเสธความจริง และการไม่ยอมรับ

เรารู้เสมอว่าทุกคนต้องตาย

เรารู้เสมอว่าตัวของเราเองก็ต้องตาย

แต่เมื่อความตายเกิดขึ้นจริงๆกับเราหรือคนที่เรารัก เรามักยอมรับมันไม่ได้…

เศษมันกองกระจุกอยู่บนถนน ตรงขอบของรอยทางสีแดงนั่น

ผมมอง พลางคิดถึงเศษหมูสับติดเขียง มันเละ และมีสีขาวเจืออยู่ในเศษสีแดงเป็นก้อนเล็กๆ แลดูนิ่มๆหยุ่นๆเปียกๆเป็นเมือกๆ คล้ายกับสัตว์ประหลาดจากต่างดาวในหนังที่เคยดู

รอยทางสีแดงนั้นทอดผ่านไปถึงกองพลาสติกกองใหญ่ที่สุมกันอยู่

รถของผมเคลื่อนผ่านไป…ช้าๆ-ช้าราวกับจะขาดใจ

ผมรู้สึกคล้ายกับรถของตัวเองหยุดนิ่ง แต่เป็นรอยทางสีแดงนั่นต่างหากที่เคลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ

ผมหลับตา ลืมตา หลับตา ลืมตา

บอกตัวเองไม่ให้มองกองพลาสติก

บอกตัวเองไม่ให้เห็นกระจุกผม

บอกตัวเองไม่ให้คิดถึงเนื้อสีขาวซีดตรงน่องใต้กองพลาสติก

บอกตัวเองไม่ให้แลผมหยิกๆนั่น เนื้อขาวๆนั่น และร่องรอยเละๆตรงนั้น

บอกตัวเองให้เพิกเฉย ไม่รับรู้

แต่ไม่-ตัวเองบังคับตัวเองไม่ได้

ความตายเป็นสมบัติของมนุษย์

 

3

ผมเคยหัวซุกหัวซุนเข้าไปขออาศัยศาลาวัดป่าแห่งหนึ่งนอนพร้อมกับช่างภาพ

คืนนั้นมืดมิด และวัดก็ไม่มีไฟฟ้าใช้ เราจัดการปูถุงนอน แล้วสอดตัวเข้าไปหลับอย่างสบายอกสบายใจ

คืนนั้นเงียบสงบ ในความมืดมิด ผมได้หลับอย่างลึก เป็นการหลับที่สบายที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต-ไม่ฝัน ไม่รู้สึกตื่นกลัว ทว่าสงบยิ่งกว่าสงบ

เมื่อแสงแรกของวันชำแรกตา ผมตื่นขึ้นเพื่อที่จะพบตัวเองนอนอยู่ใกล้ๆกับโลงของศพศพหนึ่ง และเหนือหัวนอนขึ้นไปเป็นตู้เล็กๆที่ติดภาพอสุภซากเอาไว้ให้พระปลงจำนวนเกือบสิบภาพ

ความมืดช่วยให้เราไม่เห็น

ความมืดจึงช่วยให้เราไม่รู้

และความไม่รู้-ถึงบางครั้งจะทำให้เรากลัว-แต่ครั้งนี้ ความไม่รู้ทำให้เราไม่กริ่งเกรง

ผมมองภาพอสุภซากเหล่านั้น พลางคิดว่า ในเวลาที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ กะโหลกเหล่านั้นคงถูกปกคลุมด้วยเนื้อหนังที่เจ้าของพยายามดูแลรักษาสุดความสามารถเช่นเดียวกับชื่อเสียงในตัว

แต่จะดูแลรักษาเพียงใด ทั้งหน้าตาและชื่อเสียงต่างก็หดหายไปจนหมดเมื่อความตายมาเยือน และเวลาพาผู้คนเดินทางผ่านเลยเขาไปไกลลิบ

ผมเชื่อว่าจะมีวันหนึ่งที่โน้ตเพลงของโมซาร์ต ซีดีบันทึกเพลงของบีโธเฟน หรือเปียโนทุกตัวถูกทำลายหายสูญไป

จะมีวันหนึ่ง ที่ไม่มีใครเคยได้ยินเพลงของคีตกวีเหล่านี้-ไม่ว่าใครจะพยายามรักษามันเอาไว้มากแค่ไหน

และจะมีวันหนึ่งเสมอ ที่ไม่มีใครในวันนั้นรู้จักเรา-ไม่ว่าเราจะพยายาม ‘สร้างสม’ ทั้งชื่อเสียง เงินทอง คุณงามความดี หรือรูปร่างหน้าตาของเรามากมายเพียงใด

แม้แต่คุณงามความดีหรือความเก่งกาจใดก็หายั่งยืนไม่

ความตายไม่ได้น่ากลัว เป็นการดำรงอยู่ต่างหากที่น่ากลัว

น่ากลัวเพราะเรามักหลงคิดว่าจะต้องมีบางอย่างดำรงอยู่ตลอดไป เหมือนกับที่พูดกันตลอดมาว่า ‘ตัวตาย แต่ชื่อยัง’ ซึ่งไม่เป็นความจริง และไม่สำคัญสักนิด ว่าชื่อของเราจะ ‘ยัง’ หรือไม่

ถ้าผมจะฆ่าตัวตาย ผมอยากให้ทุกคนเคารพในการเลือกตัดสินใจของผม ขณะเดียวกัน ผมจะพยายามอธิบายให้คุณฟังด้วยว่า ผมฆ่าตัวตายทำไม เพื่อไม่ให้พวกคุณต้องจ้าละหวั่นหาสาเหตุการตายของผม…แล้วไม่มีวันหาพบ

ผมคิดว่าเราควรจะเคารพการ ‘เลือก’ ที่จะตายของผู้คน ถ้าคนคนนั้นรู้ตัวว่าตัวเองกำลังจะทำอะไร

ความตายก็เหมือนการกินข้าว นั่นคือกินเพื่อที่จะหิว และตายเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่

ความตายต่อชีวิตให้ผู้คนได้หลายแบบ แต่แบบหนึ่งที่น่ารังเกียจที่สุด ก็คือการต่อชีวิตให้ปาก

โดยเฉพาะปากของคนสมองขี้เลื่อย-ใจหิน