ขโมย!

คืนหนึ่ง เมื่อกลับมาที่คอนโดฯ ที่พัก ผมพบว่ามีผู้คนรวมตัวกันอยู่หน้าห้องห้องหนึ่งบนชั้นเดียวกับห้องพักของผม

ต้องบอกกันก่อนครับ ว่าปกติแล้ว คอนโดฯ ของผมเป็นคอนโดฯ ที่สงบเงียบ ไม่ค่อยมีเรื่องราวอึกทึกครึกโครมให้ตื่นเต้นเท่าไหร่นัก ตามประสาคนเมืองนั่นแหละครับ คือต่างคน (มักจะ) ต่างอยู่ ไม่ค่อยได้สนทนาวิสาสะกันมากสักเท่าไหร่ แม้กระทั่งมีปัญหาเรื่องนิติบุคคลฯ จนลูกบ้านส่วนหนึ่งต้องรวมตัวกันเพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการฯ ใหม่ขึ้นมา แต่คุณเชื่อไหม – ว่ามีคนไปประชุมกันน้อยเต็มที เพราะคนส่วนใหญ่-รวมทั้งผมด้วย-ต่างก็อ้างว่ายุ่ง ติดงานบ้างละ เป็นวันอาทิตย์ที่อยากจะพักผ่อนบ้างละ-ทำให้แทบไม่มีใครไปประชุมกันเลย

เรียกว่าในขณะที่มีเสียงเรียกร้องเรื่องประชาสังคมในสังคมขนาดใหญ่กันอยู่ตลอดเวลา แต่ ‘ประชาสังคม’ ในคอนโดฯ กลับไม่ค่อยมีใครใส่ใจเท่าไหร่

จนกระทั่งเกิดเรื่องในคืนวันนั้น

ที่จริง เรื่องที่เกิดไม่มีอะไรตื่นเต้นนักหนาหรอก ถ้าพูดตามสายตาคนนอกหรือตำรวจ มันก็เป็นเพียงแค่คดีลักขโมยเล็กๆ น้อยๆ กล่าวคือมีคนงัดประตูห้องที่ว่างอยู่ แล้วเข้าไปปีนระเบียงด้านหลัง (ซึ่งไม่ใช่ใกล้ๆ) ผ่านเข้าไปยังอีกห้องหนึ่ง แล้วขโมยเฉพาะของเล็กๆที่มีราคาสูง จำพวกนาฬิกา เครื่องประดับ และเงินเท่านั้น

“ของที่ใส่เล่นมันไม่เอานะคะ” เจ้าของห้องคนหนึ่งว่า เธอหมายถึงนาฬิการาคาไม่แพงที่วางให้เห็นอยู่กระจะตา นั่นแสดงว่า หัวขโมยคนนี้เป็นคนที่ดูของเป็น รู้ว่าของอย่างไหนราคาเท่าไหร่ และต้องมีที่ ‘ปล่อย’ ของด้วย จึงรู้จักเลือก

ห้องที่ถูกงัดและขโมยของไปไม่ได้มีเพียงห้องเดียว ทว่ามีหลายห้อง เว้นว่างเป็นจังหวะไม่ถูกขโมยเฉพาะบางห้องเท่านั้น (ซึ่งรวมห้องของผมด้วย) นั่นจึงทำให้เกิดสิ่งที่ผมอยากจะเรียกว่า ‘ประชาสังคม’ ขึ้นมาในคอนโดฯ ของผม เพราะทุกคนมารวมตัวกัน

และนั่นคือครั้งแรก ที่เรารู้ว่า เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่พักอาศัยอยู่ในชั้นเดียวกันคนหนึ่ง มักจะมา ‘ขอยืม’ เงินจากคนอื่นๆที่อาศัยอยู่ในคอนโดบ่อยครั้ง คราวละสองร้อยสามร้อยบาท แม้กระทั่งแขกที่มาเยี่ยมเพื่อนในคอนโดฯ บางครั้งก็ยังถูก ‘ขอยืม’ เงิน โดยมักจะใช้วิธีขอยืมก่อน แต่เงินนั้นไม่เคยคืน ซึ่งทุกคนไม่ได้ว่าอะไรนัก เพราะคิดว่าเป็นเงินเล็กน้อย ไม่มีใครติดใจ มีเมื่อไหร่เขาก็คงเอามาคืนเอง

เด็กหนุ่มคนนี้ยังเคยขอเจ้าของห้องที่อยู่ติดกันเข้าไปปีนระเบียงเข้าห้องตัวเองด้วย โดยอ้างว่าลืมกุญแจไว้ในห้อง และอีกสองสามวันต่อมา ของในห้องของเจ้าของห้องที่อยู่ติดกันก็หายไป

ทั้งหมดชี้เบาะแสไปที่เด็กหนุ่มคนนี้

เปล่าครับ, ผมไม่ได้จะพยายามบอกคุณหรือใคร ว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นหัวขโมย เราไม่อาจกล่าวหาใครได้จากแค่ข้อสันนิษฐานหรือพฤติกรรมในอดีต แต่ที่ผมอยากบอกคุณก็คือ เมื่อเกิดเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ ผมพบว่าผู้คนมักจะรวมตัวกัน ก่อเกิดเป็น ‘ชุมชน’ เล็กๆที่มีพลัง

ผมได้เห็นคำตัดพ้อของกรรมการคอนโดฯ (ที่ก็เป็นเจ้าของห้องธรรมดาๆคนหนึ่ง) ว่าเวลาขอร้องให้มีการประชุม ทำไมพวกเราไม่เข้าประชุมกัน ไม่อยากให้คอนโดฯ นี้น่าอยู่หรืออย่างไร ผมได้เห็นผู้คนที่เคยแต่เดินสวนกันหน้าตาเฉยเมยเริ่มพูดจาระหว่างกัน เล่าให้กันฟังว่าใครอยู่ห้องตอนไหนบ้าง และใครจะช่วยกันดูแลอย่างไรได้บ้าง รวมทั้งให้คำปรึกษาหารือระหว่างกันว่าควรจะหาหลักฐานพยานอย่างไร

และเช้าวันรุ่งขึ้น ผมก็ได้เห็นรอยยิ้มของตัวเองส่งไปให้หญิงสาวที่เราเพิ่งคุยกันเมื่อคืน แน่นอน, รอยยิ้มที่ตอบกลับมาอาจไม่คุ้มกับคดีลักทรัพย์ที่เกิดขึ้น

แต่มันก็ช่วยชดเชยอะไรได้ไม่น้อยเลยทีเดียว!