ในทางธรณีวิทยา ไม่มีดินแดนไหนจะมหัศจรรย์เท่าเกาะเล็กๆในมหาสมุทรแอตแลนติกที่อยู่เกือบจะถึงเส้นอาร์คติกเซอร์เคิลแห่งนี้อีกแล้ว
ไอซ์แลนด์!
นอกจากจะเป็นดินแดนแห่งแสงเหนือแล้ว ไอซ์แลนด์ยังเป็นประเทศที่คนที่สนใจเรื่องทางธรณีวิทยาต้องตื่นเต้นเป็นอันมาก เพราะที่นี่เป็นเกาะที่มีอายุน้อยมาก (หมายถึงอายุในทางภูมิศาสตร์) ของโลก เขาบอกว่า ถ้าเทียบอายุโลกทั้งหมดเท่ากับ 1 ปี ไอซ์แลนด์จะถือกำเนิดมาในตอนเย็นวันที่ 30 ธันวาคม จึงเป็นเกาะที่ ‘ใหม่’ มาก
ความใหม่ของไอซ์แลนด์ทำให้ที่นี่มีภูมิประเทศที่แปลกตาและมหัศจรรย์มากมาย
หากคุณมาที่นี่ วิธีสัญจรที่ดีที่สุดก็คือการเช่ารถขับ เพื่อจะได้ตระเวนไปบนถนนสาย 1 ซึ่งเป็นถนน Ring Road หรือถนนวนรอบเกาะไอซ์แลนด์ ที่มีระยะทางประมาณสองพันกว่ากิโลเมตร
เริ่มแรกสุด หลังออกจากเมืองหลวงอย่างเรคยาวิคแล้ว คุณอาจไปที่ Thingvellir National Park ซึ่งมีสิ่งมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ระดับโลกอยู่ในรูปของทางเดินที่มีหน้าผาหินสองข้างทาง
ที่นี่คือที่ที่มี Mid-Atlantic Ridge!
สำหรับผู้ที่ไม่รู้จัก ต้องอธิบายก่อนว่า Mid-Atlantic Ridge คือแนวรอยแยกใต้มหาสมุทรแอตแลนติก ที่ ‘ผุดพ่น’ แผ่นดินใหม่ออกมา แล้ว ‘ดัน’ ให้แอฟริกาและยุโรปแยกตัวออกจากอเมริกา (เราจะเห็น ‘จิ๊กซอว์’ ตัวต่อได้จากแอฟริกากับอเมริกาใต้อย่างชัดเจน) แต่เนื่องจากริดจ์ที่ว่านี้อยู่ใต้น้ำ จึงมองที่ไหนไม่เห็น แต่ไอซ์แลนด์นั้นเป็นเกาะพิเศษ นอกจากมันจะอยู่ตรงกับริดจ์ที่ว่าแล้ว ยังมี ‘ท่อ’ ที่เชื่อมกับหินร้อนใต้โลกที่เรียกว่า Mantle Plume ด้วย ทำให้ดันตัวขึ้นมาให้เราเห็น
เพราะฉะนั้น บริเวณนี้จึงคือจุดที่แผ่นเปลือกโลกสองแผ่นแยกออกจากกันตรงหน้า อีกทั้งบริเวณนี้ที่มีลักษณะเป็นเหมือน ‘กำแพง’ ยกขึ้นสองข้าง ยังเคยถูกใช้เป็นรัฐสภาประชาธิปไตย (Democratic Parliament) แห่งแรกของโลกด้วย เมื่อชาวไอซ์แลนด์มาชุมนุมประชุมกันที่นี่ในราวศตวรรษที่ 10 เพื่อลงคะแนนเสียงกันว่า จะหันมาเข้ารีตรับศาสนาคริสต์หรือเปล่า
นอกจาก Thingvellir National Park แล้ว ไอซ์แลนด์ยังมีน้ำพุร้อนกีเซอร์ที่ชื่อ สโตรกคัวร์ ซึ่งพ่นน้ำพุร้อนออกมาทุก 4-8 นาที หลายครั้งสูงลิบลิ่วเป็นสิบเมตร แต่บางคราวก็พ่นออกมาค่อยๆ ทว่าก็ทำให้ถึง ‘พลัง’ ของพลังงานใต้พิภพได้ว่ามหาศาลขนาดไหน
เวลาขับรถไประหว่างทาง คุณจะเห็นน้ำตกที่ไหลลงมาตรงๆมากมายหลายสิบเส้น ราวกับเป็นโลกในเทพนิยาย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะไอซ์แลนด์เป็น ‘แผ่นดินใหม่’ การยกตัวของแผ่นดินจึงไม่เท่ากัน ส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นที่ราบสูงแล้วลดหล่ันลงมาเป็นชั้นๆ ดังนั้นเวลาน้ำไหล จึงไหลตกลงมาเป็นน้ำตกชนิดที่ตกลงมาตรงๆ จนดูเหมือนน้ำตกปลอมที่ประดิษฐ์ขึ้นแบบไม่แนบเนียน
บางน้ำตกก็มีขนาดใหญ่มากจนไม่น่าเชื่อว่าจะใหญ่ได้ถึงขนาดนั้น เช่นน้ำตก Gullfoss ที่ใหญ่โตมโหฬารมากจนเหมือนโกหก และทำให้เห็นถึงความมหัศจรรย์และพลังอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ เป็นน้ำตกที่ไหลลงไปใน Gorge หรือโตรกผาที่ลึกมาก
นอกจากนี้ยังมีน้ำตกชื่อ Skogafoss ที่เป็นน้ำสายใหญ่ไหลตกจากเหวลงมาตรงๆ มองเห็นได้แต่ไกล ยิ่งถ้าเดินขึ้นไปด้านบน จะเห็นความงามที่ยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่เขียวโล่งสุดลูกหูลูกตา
น้ำตกอีกแห่งหนึ่งที่ว่ากันว่าเป็นน้ำตกที่ ‘ทรงพลัง’ ที่สุดของยุโรปก็อยู่ในไอซ์แลนด์ นั่นคือน้ำตก Dettifoss แต่ต้องขับรถไปยังเมือง Egilsstadir ซึ่งอยู่ตรงใจกลางของ ‘ภาคอีสาน’ ของไอซ์แลนด์ น้ำตกแห่งนี้มีปริมาณน้ำต่อวินาทีสูงที่สุดของยุโรป (ค่าเฉลี่ยคือ 193 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที) ที่นี่ถูกใช้เป็นฉากถ่ายหนังเรื่อง Prometheus ด้วย แต่ท่ีน่าประทับใจเอามากๆ ก็คือ Canyon ที่เกิดขึ้นถัดจากน้ำตก ชื่อ Jokulsargljufur ซึ่งถือเป็น Canyon แสนสวยที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์
ไอซ์แลนด์นั้นถือเป็นดินแดนแห่งน้ำแข็งจริงๆ เพราะมีพืดน้ำแข็งขนาดมหึมาหลายแห่ง แห่งที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งก็คือ Eyfjafjallajokull ที่นี่เป็นพืดน้ำแข็งที่มีภูเขาไฟอยู่ข้างล่าง เมื่อปี 2010 เป็นภูเขาไฟที่นี่ที่พ่นเถ้าออกมามหาศาล พอลมพัดไปยุโรป ก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เครื่องบินต้องหยุดบินกันทั้งทวีป
นอกจากนี้แล้ว ไอซ์แลนด์ยังมีภูเขาไฟอีกหลายลูกที่สำคัญ เช่นภูเขาไฟชื่อ Katla ซึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้พืดน้ำแข็งชื่อ Myrdalsjokul ภูเขาไฟ Katla นั้นเป็นตัวการสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า Glacier Burst เพราะภูเขาไฟที่อยู่ใต้พืดน้ำแข็งย่อมทำให้น้ำแข็งละลาย เมื่อมีน้ำมากถึงขีดหนึ่ง พืดน้ำแข็งที่ขังน้ำเอาไว้ก็จะแตกเหมือนเขื่อนแตก ทำให้น้ำทะลักออกมาฉับพลันทันที จนเกิดเป็น Flash Flood ขนาดใหญ่โตมโหฬาร จนบ้านเรือน ถนน หรือสะพาน พังทลายไปหมด ภูเขาไฟ Katla นั้นถือว่าเป็นเจ้าแม่ของ Glacier Burst ของไอซ์แลนด์กันเลยทีเดียว
พืดน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์นั้นใหญ่จนเกินจะจินตนาการได้เลยทีเดียว มีชื่อว่า ‘วาตนาโยคุตล์’ (Vatnajokul) มีความสูงถึงหนึ่งกิโลเมตร ถ้าขับรถไปตามเส้นทางสาย 1 เราจะไม่เห็นวาตนาโยคุตล์เต็มตา เพราะมันซ่อนตัวอยู่หลังภูเขาสูง แต่เราจะเห็น ‘ติ่ง’ (Outlet) ต่างๆของมัน เป็นเหมือนสายน้ำที่กระเซ็นออกมาจากหลังภูเขา และเป็นติ่งเหล่านี้เอง ที่ทำให้เกิดทะเลสาบน้ำแข็ง (Ice Lake หรือ Ice Lagoon) ที่เราสามารถขับรถเข้าไปถึงได้ จะมีลักษณะเป็นทะเลสาบที่มีก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ลอยอยู่ในนั้น จะนั่งเรือชมก็ยังได้
ไอซ์แลนด์ไม่ได้หมดแค่นี้ เพราะเลยลงมาทางใต้ ถัดจากวาตนาโยคุตล์ ยังมี Fire Districts หรือบริเวณที่เป็นทะเลลาวา ซึ่งมีทั้งพื้นที่โล่งกว้าง มีธารน้ำจำนวนมาก (เรียกว่า Glacier Rivers) ไหลผ่าน คนไอซ์แลนด์บอกว่าเหมือนพระเจ้าเอาเล็บมาจิกกรีดลงไปบนพื้นดิน บริเวณนี้จะมีสีดำเข้ม เต็มไปด้วยหิน ดูเหมือนพื้นผิวของดาวอังคาร และยังมีพื้นที่อีกแบบที่เรียกว่า Lava Fields มีลักษณะนูนเป็นก้อนๆ ดูเหมือนรอยหยักของสมอง โดยมีมอสอาร์คติกขึ้นคลุมหนาเป็นปึก เขียวกว้างไกลสุดสายตา ดูแล้วเหมือนอยู่บนดาวอื่นที่ไม่ใช่โลก
ทางตะวันออกของไอซ์แลนด์มีลักษณะเป็นฟยอร์ดเหมือนนอร์เวย์ และหลายที่ก็มีชายหาดสีดำเหมือนเกาะคานารีของสเปน โดยเฉพาะหาดกรวดสีดำที่เมือง Vik อันเป็นหาดที่มีชื่อเสียงระดับโลก
ส่วนทางตอนเหนือของไอซ์แลนด์นั้น จะเป็นแหล่งที่สามารถนั่งเรือไปชมวาฬและนกพัฟฟินได้ โดยเฉพาะที่เมือง Husavik ที่นี่มีวาฬเท่าที่เคยบันทึกเอาไว้ว่าทั้งผ่านทางมาหรือมาเยือนเป็นประจำถึง 23 ชนิด แต่ที่รับประกันว่าเจอแน่ๆ ก็คือวาฬหลังค่อมหรือ Hupback Whale
นอกจากนี้ ทางเหนือของไอซ์แลนด์ยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ม้าชั้นเยี่ยมของโลกด้วย โดยเฉพาะในแถบเมือง Akureyri ซ่ึงเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของไอซ์แลนด์และถือเป็นเมืองหลวงทางภาคเหนือด้วย
การขับรถบนถนนสาย 1 รอบเกาะไอซ์แลนด์นั้น ใช้เวลาราว 8-10 วัน แต่จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนได้ท่องไปทั่วโลก ในภูมิประเทศที่แปลกตา และได้เรียนรู้เรื่องราวทางธรณีวิทยาหลากหลายอย่างยิ่ง