จักรวาลในห้องนั่งเล่น

 

1

ฝรั่งเรียกห้องนั่งเล่นว่า ‘ห้องสำหรับใช้ชีวิต’ หรือ Living Room

ในห้องนั่งเล่นที่มักไม่ได้ถูกใช้เพื่อการ ‘นั่งเล่น’ จึงมีสรรพสิ่งมากมายที่สะท้อนถึงชีวิตของเรา ห้องนั่งเล่นของผมเต็มไปด้วยหนังสือ ทั้งที่อ่านแล้ว กำลังอ่าน และที่วางเรียงรายรอการอ่านอยู่

น่าเศร้า-ที่ดูเหมือนอย่างหลังจะมีมากที่สุด

ในบรรดาคำพูดที่เกี่ยวโยงกับห้องนั่งเล่น ผมชอบถ้อยคำของคีตกวีและนักเปียโนชาวรัสเซียอย่าง อิกอร์ สตราวินกี มากที่สุด เพราะดูเหมือนมันจะผูกพันสองเรื่องอันเป็นที่รักในชีวิตของผมเข้าด้วยกัน

อิกอร์บอกว่า,

ดนตรีในภาพยนตร์พึงมีความสัมพันธ์เดียวกับนาฏกรรมในภาพยนตร์ เช่นเดียวกับที่การเล่นเปียโนของใครบางคนในห้องนั่งเล่นสัมพันธ์กับหนังสือที่ผมกำลังอ่านอยู่

อิกอร์กำลังบอกเราว่า การ ‘ใช้ชีวิต’ ในห้องนั่งเล่นของเขานั้น สัมพันธ์เชื่อมโยงกับโลกภายนอกมากมาย เสียงจากเปียโนที่ใครบางคนกำลังเล่นอยู่ ย่อมเป็นเสียงอันแนบแน่นอยู่กับหนังสือที่เขากำลังอ่าน สองสิ่งนี้ย่อมเสริมส่งซึ่งกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นหนังสือสวยสดงดงามละเมียดไปด้วยมธุรสภาษา อาจเป็นหนังสือซึ่ง ‘ตีหัวคุณอย่างสาหัส’ เหมือนเมตามอร์โฟซิส ของฟรานซ์ คาฟก้า ก็ได้ แต่ดนตรีย่อมต้องสอดคล้องแนบแน่น อาจเป็นเพลงเปียโนกราดเกรี้ยวของอิกอร์เอง หรืออาจเป็นดนตรีเศร้าที่เจือด้วยอารมณ์แรงร้อน อย่างบางชิ้นงานของไชคอฟสกีก็ได้

ไม่รู้สิ…แม้เมื่อเราอยู่ในห้องนั่งเล่น หนังสือก็ยังพาเราออกสู่โลกภายนอก เช่นเดียวกับดนตรีที่พาเราไปไกลแสนไกล ในโลกที่เราไม่รู้จัก ทว่าในเวลาเดียวกัน เรายังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวที่สบายและปลอดภัยในบ้านของเรา ตราบเท่าที่ไม่มีแผ่นดินไหว ฝนตกหนักจนน้ำท่วมฉับพลัน หรือสิ้นลมไปด้วยความชราเหมือนที่อิกอร์เป็น ณ ขณะนั้น เราก็จะยังนั่งอ่านหนังสือและฟังดนตรีไปพร้อมๆกันได้ในห้องนั่งเล่นของเรา

 

2

ที่จริง คำว่า Living Room อาจแปลได้อีกความหมายหนึ่งว่า ‘ห้องที่กำลังมีชีวิต’

คำแปลนี้ทำให้ผมนึกถึงห้องนั่งเล่นในบ้านหลังหนึ่งในเคนตั๊กกี้ เป็นบ้านซึ่งนักแต่งเพลงชื่อดังยุคโบราณของอเมริกา ผู้แต่งเพลงประจำรัฐต่างๆไว้มากมายอย่าง สตีเฟน ฟอร์สเตอร์ เคยมาพำนัก และได้รับการอนุรักษ์ไว้ให้เหมือนเดิมในสมัยที่สตีเฟนยังมีชีวิตอยู่

เมื่อเดินเข้าไปในบ้านหลังนั้น แม้ทุกอย่างจะยังเหมือนเดิม พรมทอมือยังมีสีแดงฉาน เก้าอี้ยุคอาณานิคมยังคงความงามของการสลักเสลา และแม้กระทั่งเปลเด็กที่มีตุ๊กตาขนาดเท่าคนจริงวางอยู่ก็ยังครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ไม่รู้สิ-ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่ห้องที่ ‘มีชีวิต’ อยู่อีกต่อไปแล้ว

เราไม่อาจมีชีวิตอยู่ในอดีตได้ เช่นเดียวกับที่เราไม่อาจมีชีวิตอยู่ในอนาคต

เมื่อมองดูบ้านเก่าๆที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ให้ ‘แลดูเหมือนเดิม’ เราจึงซึมซับได้เพียงรูปแบบภายนอก แต่ไม่มีวันรับรู้ถึง ‘ชีวิต’ แท้จริงที่อยู่ภายใน เราอาจจินตนาการได้ว่าเคยเกิดอะไรขึ้นในห้องนั่งเล่นแห่งนี้บ้าง แต่นั่นก็เป็นเพียงจินตนาการของเรา เพราะช่วงเวลาแห่งการมีชีวิตอยู่ได้เลยพ้นไปเนิ่นนานแล้ว

ช่างเหมือนการนั่งดูข่าวสีขาว-ดำ ที่เก่าคร่ำคร่า มีเส้นพร่าแนวดิ่ง เมื่อผู้คนออกมารวมตัวกันในงานสำคัญๆ เมื่อพวกเขาออกมาเดินขบวน ออกมางานเลี้ยงหรูหรา ออกมาเต้นรำ พวกเขาแลดูมีชีวิตอย่างยิ่งในจอภาพ แต่แท้จริงแล้ว พวกเขาไม่ได้มีชีวิตอยู่เลย

เรามักคิดว่า, เป็นตัวเรา-ในห้องที่เราอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ต่างหาก-ที่มีชีวิตอยู่

แต่แท้จริงแล้ว, เรา ‘มีชีวิตอยู่’ จริงไหม?

 

3

ห้องนั่งเล่นของเรามักแวดล้อมไปด้วยข้าวของที่เราคิดว่ามันเป็นของเรา สะท้อนตัวตนของเรา สัมพันธ์แนบแน่นกับเรา เหมือนที่อิกอร์บอกว่า ดนตรีในภาพยนตร์พึงมีความสัมพันธ์เดียวกับนาฏกรรมในภาพยนตร์ เช่นเดียวกับที่การเล่นเปียโนของใครบางคนในห้องนั่งเล่นสัมพันธ์กับหนังสือที่ผมกำลังอ่านอยู่

แต่โดยเนื้อแท้แล้ว สิ่งต่างๆเหล่านั้นที่รายล้อมอยู่ สามารถสัมพันธ์แนบแน่นกับเราได้มากที่สุดแค่ไหนหรือ?

บางทีเราก็ไม่อาจแน่ใจได้หรอกว่า ห้องนั่งเล่นนั้นคือ ‘ห้องสำหรับใช้ชีวิต’ หรือ ‘ห้องที่กำลังมีชีวิตเป็นของตัวเอง’ กันแน่ เราอาจคิดว่า เราควบคุมห้องนั่งเล่นของเราได้ ให้มันมีหนังสือน่าอ่าน เสียงเพลงไพเราะ ดอกไม้หอมกรุ่น ชาร้อนในถ้วยกระเบื้องเคลือบ และแอปเปิลพายชิ้นเล็ก เพื่อให้เราได้ ‘ใช้ชีวิต’ ของเราในปัจจุบัน แต่เอาเข้าจริง สิ่งที่เรียกว่า ‘ชีวิต’ นั้นเป็นของเราอย่างแท้จริงมากเพียงใด

ในเวลาที่เรากำลังถือหนังสืออ่าน หนังสือก็จัดรูปร่างความคิดของเราไปด้วยพร้อมกับที่เราต่อกรกับมัน

ในเวลาที่เราฟังดนตรี เซลล์ประสาทในสมองของเราเติบโตไปตามตัวโน้ตนั้น ผสมรวมกับต้นทุนทางประสบการณ์เดิมของเรา

ในเวลาที่เราจิบชาหอมกรุ่น ความครุ่นคำนึงพาเราย้อนกลับไปสู่อดีต เมื่อครั้งที่ได้ลิ้มรสชานี้เป็นครั้งแรกกับคนที่เรารัก

แต่เราได้ ‘มีชีวิต’ อยู่กับตัวเอง ณ ช่วงเวลาปัจจุบันอันเป็นนิรันดร์ไหม

หรือว่าสิ่งต่างๆที่รายล้อมเราอยู่นั่นต่างหากที่มีชีวิตอย่างแท้จริง และมันทำให้เราคิดไปเอง,

ว่าเราก็มีชีวิต

 

4

บางครั้งผมเพียงแต่นั่งมองหนังสือซึ่งรายเรียงอยู่ในตู้ ผมอยากรู้จักพวกมันอย่างลึกซึ้งทุกเล่ม ไล่เลยไปจนถึงหนังสือทุกเล่มที่มีอยู่ในโลกนี้ด้วย แต่แล้วก็ตระหนักกับตัวเองว่าเวลานั้นมีน้อยเกินไป และยังมีน้อยเกินกว่าที่จะนำมาใช้จ่ายในความเศร้าเสียใจของการตระหนักรู้นี้ด้วย

บางครั้งผมจึงได้แต่นั่งมองสันหนังสืออยู่เงียบๆ ปล่อยให้เรื่องราวในหนังสือเหล่านั้นโลดแล่นมีชีวิตของมัน

และ, บางครั้ง-พยายามมีชีวิตอยู่ให้ได้อย่างแท้จริงในปัจจุบันขณะของจักรวาลในห้องนั่งเล่น

ทว่า, หลายครั้ง-ก็ไม่ได้พยายามอีกต่อไป