ถึงคุณ
ผมอยากนั่งนิ่งๆอยู่ตรงนี้ ในที่ที่ความรักของคุณอบอวลอยู่ คุณไม่ได้พูดให้จบประโยค แต่ความหมายนั้นก็อ่อนหวานเสียจนการจบลงของประโยคไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป ผมเปิดโคมไฟดวงเล็กๆเอาไว้ มันส่องแสงอยู่ในความมืด บางครั้งผมก็คิดว่ามันคล้ายความรักของคุณ
เรารู้จักกันมานานแค่ไหนแล้วนะ ในเช้าวันนั้น วันที่ภูเขาไฟระเบิดถะถั่งออกมาเป็นธารเถ้าบนท้องฟ้า คุณอยู่ที่ไหนหรือ โลกคล้ายเวิ้งว้างว่างเปล่า ผมไม่รู้หรอกว่า ทำไมเมื่อไม่มีคุณอยู่ใกล้ๆ ก็เหมือนไม่มีอะไรอีกแล้วในโลกที่สลักสำคัญ ผมเคยบอกคุณว่า เหตุผลที่เรามีชีวิตอยู่นั้นน้อยลงเรื่อยๆใช่ไหม ผมคิดว่านั่นเป็นความจริงอย่างที่สุด เราไม่ได้มีเหตุผลอะไรเลยที่จะอยู่ที่นี่ หรือที่จริงก็คือไม่ว่าที่ไหนทั้งนั้น
บาดแผลของคุณมีรสหวาน เลือดของคุณมีสีเข้มกว่าเลือดของใคร ผมคิดว่าฮีโมโกลบินในเลือดของคุณน่าจะคลี่ยิ้มต้อนรับเมื่อได้โอบกอดอะตอมของออกซิเจนมากมายที่พรายพรูเข้าสู่กระแสเลือด และทำให้หยาดเลือดของคุณมีสีแดงสดมากยิ่งขึ้น
คุณครับ ผมมีชีวิตอยู่ในดินแดนที่สวยงามที่สุด ในที่ซึ่งฝูงแกะมีนายชุมพาบาลเป็นของตัวเอง พวกมันกระซิบบอกนายชุมพาบาลว่า ได้โปรดพาพวกข้าไปตรงโน้น ต้อนข้าไปในที่ซึ่งหญ้าเขียวที่สุดในโลก หญ้าที่ขึ้นอยู่บนดินภูเขาไฟสีดำเข้มนวลเนียน เป็นดินที่เกิดจากเถ้าอันว่างเปล่า เบาหวิว ล่องลอยขึ้นสู่อากาสเพราะการผลักดันของพลังงานที่อยู่ใต้โลก ผ่านความร้อนที่ทำให้ผลึกคริสตัลแหลกสลาย แตกร่างออกจากกันกระทั่งกลายเป็นผลึกยิบๆ เล็กเนียนและละเอียดยิ่งกว่าความละเอียดของโมเลกุลที่เรียงเป็นเซลล์บนผิวหน้าของผม
ผมอาศัยอยู่ในหุบเขา ที่ซึ่งแม้เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น แสงตะวันก็ไม่เคยสาดส่องลงไปถึง ที่นั่นคล้ายโตรกผา เป็นหุบเขาไร้ความสว่าง มีแต่รูปเงาของความมืดเท่านั้นที่ดำรงอยู่ชั่วกาล แล้วผมจะเข้าใจได้อย่างไรเล่าถึงการมีชีวิตอยู่บนยอดเนินนั้น บนสันเขาแห่งนั้น ในที่ที่อาบอยู่ด้วยความเรืองรองชั่วนิรันดร์
คุณสวดภาวนาไหมครับ คุณอธิษฐานไหมครับ คุณวิงวอนร้องขอต่อพระเจ้าไหมครับ-เพื่อให้ชีวิตที่คุณมีอยู่นั้นดีขึ้นกว่าเดิม
ผมสวดภาวนา ผมอธิษฐาน และผมวิงวอนร้องขอ ไม่ใช่ต่อหน้าพระเจ้าหรอกนะครับ ทว่าต่อหน้าความจริงของมายา มายาแห่งสัจจะ สัจจะที่เลื่อนไหลประดุจมายา มันวิ่งพล่านไปมาระหว่างความเป็นและความตาย ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไร้ชีวิต ระหว่างโลกที่มองเห็นได้และโลกที่ไม่มีวันมองเห็น ผมอยู่ในความมืดชั่วนาตาปี แต่ความมืดได้กักขังผมเอาไว้ในความสว่าง เป็นความสว่างที่ถูกขังอยู่ในความมืดอีกชั้นหนึ่ง ไม่มีใครมีกุญแจไขประตูเปิดให้ความสว่างได้หลุดรอดออกมา ดังนั้นมันจึงซ้อนกันอยู่เช่นนั้นเป็นชั้นๆ และจะเป็นเช่นนั้นไปตราบสิ้นอายุขัยของจักรวาลที่ไม่ได้มีอยู่จริง
ผมไม่ได้สวดภาวนาเพื่อให้ชีวิตที่มีอยู่น้ันดีงามยิ่งขึ้น แต่ผมอธิษฐานต่อหน้ามายาแห่งสัจจะ ขอให้ทุกสิ่งที่เป็นอยู่นี้มีเหตุผลเพิ่มขึ้นอีกสักนิดจะได้ไหม
คุณครับ, คุณรู้ใช่ไหม-ว่ามันเป็นไปไม่ได้
ผมอยากไปทะเล ไปในที่ซึ่งความเวิ้งว้างว่างเปล่าไม่อาจทำร้ายหัวใจของผมได้อีก ผมอยากให้ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิม ผมไม่อยากทำลายมัน ไม่อยากทำลายชีวิตตัวเอง พูดให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือ ผมไม่อยากมีความรักอีกแล้ว ไม่อยากให้ความรักของตัวเองสร้างสรรค์อะไรขึ้นมา เพราะการสร้างสรรค์ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากอีกหน้ากากของการทำลายล้าง ยิ่งเรารักมากเท่าไหร่ ที่สุดเราก็จะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น คุณนั่งอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่สิ บางทีคุณอาจนอนอยู่ และบางทีคุณก็ไม่อาจเรียกอิริยาบถนั้นได้ว่าเป็นการนั่ง นอน ยืน ครึ่งนั่งครึ่งนอน หายใจ ไม่หายใจ มีชีวิต หรือไม่มีชีวิต คุณเพียงแต่อยู่ตรงนั้น และไม่รู้สึกรู้สาต่อสายฝนที่พรำพรูลงมาบางเบาอีกต่อไป
แรงกระเพื่อมของสมองเป็นสิ่งงดงาม มันทำให้เราคิดถึงความร้อนที่อยู่ใต้ผืนดิน จินตนาการถึงการส่งผู้คนลงไปใต้นั้น ผ่านปล่องแม็กมาที่ร้อนแรงที่สุดในโลก ข้างใต้นั้นร้อนจัด แต่มันกลับแข็งเหมือนหิน คุณรู้ไหมครับว่าทำไม มันไม่เหมือนที่เราคิดไว้นักหรอก ที่ว่าเมื่อให้ความร้อนแล้ว ทุกอย่างจะต้องหลอมละลาย มันเป็นเช่นนั้นที่นี่ บนยอดเนิน บนสันเขา บนที่สูงลิบ ที่ที่คุณอาศัยอยู่ ที่ที่เต็มไปด้วยความเรืองรองของแสงสว่าง แต่ไม่ใช่ที่นั่น ที่ที่ลึกลงไปใต้ดิน ลึกลงไปไกลสุดกู่ ไกลเกินจินตนาการของใครๆ ในที่แห่งนั้น แรงกดดันมหาศาลทั้งปวงจากยอดเนิน กระทั่งถึงผืนดิน ต้นไม้ทุกต้น รถยนต์ทุกคัน ชีวิตทุกชีวิต ไก่ทุกตัว บ้านทุกหลัง และความเป็นไปทุกอย่างที่อยู่บนพื้นผิว ได้เหยียดกดส่งแรงลงไปข้างล่าง
ที่แห่งนั้นแม้จะร้อน ทว่าไม่มีใครละลาย ทุกสิ่งแข็งกระด้างยิ่งกว่าหินผา ทั้งนี้ก็เพราะมีแรงกดของคุณและของผมกระทำต่อมัน แรงกดดนั้นเอาชนะความร้อน และทำให้แกนใต้โลกไม่หลอมละลายกลายเป็นของเหลวหรือของไหล ทว่าแน่นและแข็งกระด้าง
ผมอยากถามคุณเสียจริงว่าหัวใจของคุณมีสีอะไร ผมเดาว่าเป็นสีแดง แต่ผมไม่กล้าเอามีดเสียบเข้าไปในนั้นหรอก ผมไม่กล้าแม้กระทั่งสัมผัสมัน เพราะผมกลัวจะพบความจริงที่ว่า หัวใจของคุณไม่ได้อ่อนนุ่มและมีเลือดไหลเวียนอยู่ ที่จริงแล้ว มันแข็งกระด้างและแห้งผาก จนคุณสามารถหัวเราะให้กับความตายของคนอื่นได้โดยง่าย
ผมอยากจะนั่งอยู่นิ่งๆที่ตรงนี้ ในที่ที่ความรักของคุณอบอวลอยู่ใกล้ๆ คุณไม่จำเป็นต้องพูดให้จบประโยคก็ได้ ผมรู้ดีว่าความหมายที่ซ่อนอยู่ในถ้อยคำเหล่านั้นอ่อนหวานลึกซึ้งมากเพียงใด ขอเพียงให้เราได้กลายเป็นเครื่องมือของกันและกันในการดำรงอยู่อันแสนไร้ความหมายนี้เถิด แม้ว่าตัวเครื่องมือทั้งปวงเองก็ไม่มีความหมายใดๆด้วย แต่เมื่อเราได้อยู่ร่วมกัน เราจะสร้างบางสิ่งขึ้นมาให้เราได้เชื่อมั่นยึดถือ เพื่อที่เราจะประกาศแก่ผู้อื่นและตัวเอง ว่านั่นคือตัวตนของเรา คือความหมายที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่เพื่อมัน คือสิ่งทรงคุณค่าให้เราได้ภักดีต่อมันไปจนชั่วชีวิต
แต่คุณครับ, คุณก็รู้ใช่ไหม คุณก็คงรู้…
ผมเปิดโคมไฟดวงเล็กๆเอาไว้ในท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ มันคือแสงดวงเล็กจ้อยในความมืดขนาดมหึมา พูดให้ถูกกว่านั้นก็คือความมืดอันไร้ที่สิ้นสุด ผมคิดว่าหมอกน่าจะลง แต่ที่จริงแล้วมันคือฝนพรำ เป็นฝนเม็ดเล็กยิบ ละเอียดเสียยิ่งกว่าโมเลกุลของความรัก มันพรูพร่างลงมาเกาะตามเสื้อผ้าเป็นดวงพราว เมื่อผมเห็นมัน ผมคิดถึงดอกไม้เล็กๆที่ขึ้นพรายอยู่เกาะเล็กๆแห่งหนึ่งในทะเล ที่ซึ่งอากาศแห้งแสนแห้ง แต่หัวใจชุ่มชื้นยิ่งกว่ามีความรักเสียอีก
คุณครับ เลือดของคุณเป็นสีแดงเกินไปแล้วนะครับ คุณเคยสงสัยไหมครับ ว่าทำไมเลือดของคุณจึงแตกต่างจากเลือดของผม ฮีโมโกลบินของคุณโอบกอดออกซิเจนด้วยความรื่นเริงราวกับไม่เคยล่วงรู้เลยว่าการมีชีวิตอยู่นั้นเจ็บปวดมากเพียงใด มันเพียงแต่อยู่ตรงนั้น โอบกอด แล้วตายไปในม้าม ในตับ ในไขกระดูก ในเส้นเลือดระหว่างทาง โดยไม่เคยและไม่จำเป็นต้องล่วงรู้เลยว่า พวกมันอยู่ตรงนั้นเพื่ออะไร มันมีส่วนไหม กับการทำให้ผู้เจ้าของหรือทึกทักว่าเป็นเจ้าของของมันต้องเกิดความรู้สึกเจ็บร้าวอยู่ลึกๆในหัวใจ และจะเป็นเช่นนั้นไปจนวันตาย
มันไม่รู้เลย เหมือนที่เซลล์หนึ่งเซลล์ในมือของเราก็ไม่เคยรู้ ว่ามือของเรากำลังเย็นเยียบเพียงใด
คุณครับ ผมอยากให้เลือดของผมมีสีเหมือนเลือดของคุณ บาดแผลของคุณมีรสหวาน บาดแผลของผมเค็มปะแล่ม เลือดของเราเป็นเลือดของมนุษย์ ทว่ากลับแตกต่าง คุณเห็นชีวิตพรายพรูอยู่ในนั้น ส่วนผมเห็นความตาย
เราไม่จำเป็นต้องเห็นเหมือนกัน เราไม่จำเป็นต้องรับรู้สิ่งต่างๆเหมือนกัน และถึงที่สุดแล้ว เราไม่จำเป็นต้องรักกัน คุณไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำนั้นออกมา และผมจะไม่ฟังมันอีกต่อไปแล้ว เพราะผมรู้แล้วว่ามันไม่มีความหมายใดๆ ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นคำพูดพล่อยๆของคุณเท่านั้น ทว่าต่อให้คุณตั้งใจพูด ตั้งใจหมายความเช่นนั้น แต่ในที่สุด กาลอวกาศก็จะกร่อนเซาะทำลายทุกความหมายเหล่านั้นลงเงียบๆช้าๆ แต่แน่วแน่และอำมหิต
คุณครับ ขอเพียงเราสามารถนั่งนิ่งๆอยู่ตรงนั้น สัมผัสความอ่อนหวานของมวลอากาศรอบตัว ปล่อยให้ความเงียบนำพาบางเสียงมาสู่เรา ฟังสิ มีคำพูดไม่จบประโยคมากมายลอยคว้างอยู่ในอากาศ ถ้าเพียงแต่คุณจะตั้งใจฟังบ้าง คุณก็จะรู้
ใช่-คุณก็จะรู้…
ผมเอง